Categories
ความรู้ สัตว์บก แนะนำ

กระรอกสามสี สัตว์ป่าคุ้มครอง ขนสวยสะดุดตา หางยาวปุกปุย

กระรอกสามสี เป็นสัตว์สายพันธุ์กระรอกที่พบเห็นได้ยาก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Callosciurus prevostii เป็นกระรอกที่ตัวใหญ่ไม่ใหญ่มากนัก มีขนาดตัวปานกลาง ลำตัวของกระรอกสามสีอยู่ที่ประมาณ 25 เซนติเมตร และหางจะมีขนหนาปกคลุมฟูฟ่อง ซึ่งความยาวของหางจะอยู่ที่ประมาณ 27 เซนติเมตร กระรอกสามสี มีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระรอกหลากสี จัดอยู่ในสกุลเดียวกัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Callosciurus finlaysonii แต่มีความแตกต่างกันที่สายพันธุ์สามสีตัวเมียจะมีเต้านม 3 คู่ ซึ่งกระรอกชนิดนี้สามารถพบได้ในทวีปเอเชีย มักอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์

ข้อมูลทั่วไปที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระรอกสามสีสัตว์โลกแสนน่ารัก 

กระรอกสามสี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงใกล้เป็นสัตว์สูญพันธุ์ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ให้กระรอกสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และห้ามไม่ให้มีการเลี้ยง แต่ก็ยังมีการแอบนิยมซื้อขายเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่

ลักษณะที่โดดเด่น

กระรอกสามสี ลักษณะที่โดดเด่นซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือสีของขนที่มีสามสี โดนบริเวณหูและหัวจะมีสีดำ ขนหางครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ปลายหาเป็นสีน้ำตาล ส่วนขาขนมีสีแดงปนน้ำตาลแก่ บริเวณโคนขาหลังด้านบนมีสีขาว ขนท้องจะมีสีน้ำตาลปนแดงมีแถบสีขาวพาดจากโคนขาหลังไปยังขาหน้า กระรอกสามสี จึงประกอบไปด้วยสีดำ สีขาว และสีน้ำตาล

ถิ่นที่อยู่อาศัย

สามารถพบได้บริเวณป่าดิบชื้น หรือป่าพรุ ในคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยลงไป พบได้แม้กระทั่งในป่าพรุ เช่น ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ประเทศมาเลเซีย หมู่เกาะสุมาตรา และหมู่เกาะอินโดนีเซีย

อาหารการกิน

กระรอกสายพันธุ์นี้กินอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ แมลงต่าง ๆ และไข่นก เป็นต้น

ลักษณะนิสัยและพฤติกรรม

สำหรับกระรอกชนิดนี้จะชอบออกหากินในเวลาตอนกลางวัน ออกหากินตามลำพัง หรืออาจจะอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก มีความว่องไว เคลื่อนไหวรวดเร็ว

ช่วงเวลาของการเจริญพันธุ์

กระรอกสามสี เป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ตลอดปี ซึ่งฤดูผสมพันธุ์อย่างแท้จริง จะอยู่ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน กระรอกสายพันธุ์นี้มีระยะเวลาในการตั้งท้อง 40 วัน ในหนึ่งคอกจะได้ลูกอยู่ประมาณ 1 ถึง 4 ตัว น้ำหนักแรกเกิดจะอยู่ที่ประมาณ 16 กรัมเท่านั้น ตัวเล็กมาก ๆ 

ขนาดและน้ำหนัก

ถ้าเทียบกับกระรอกสายพันธุ์อื่น ๆ จะมีขนาดกลาง แต่ถ้าพูดถึงในตระกูล Callosciurus จะมีขนาดใหญ่ที่สุด โดยความเฉลี่ยวัดตั้งแต่ปลายจมูกจนถึงโคนหางจะอยู่ที่ประมาณ 20-27 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 20-27 เซนติเมตร และขาหลังยาวประมาณ 4.5-8.0 เซนติเมตร ขาสั้นมาก แต่วิ่งเร็วจี๋เลย น้ำหนักตัวของกระรอกสายพันธุ์นี้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 250-500 กรัม ตัวเบาหวิว ปีนป่ายต้นไม้ได้เร็วสุด ๆ เลย

กระรอกสามสี สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ใกล้สูญพันธุ์

กระรอกสามสีถึงแม้จะเป็นสัตว์ที่สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้กระรอกสายพันธุ์นี้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ไม่ว่าจะนักล่าที่อยู่ตามธรรมชาติ และการบุกรุกป่าของมนุษย์ที่ส่งผลให้กระรอกสามสีขาดแคลนอาหารและถิ่นที่อยู่อาศัย กระรอกสามสีมีลักษณะโดดเด่นตามชื่อ โดยขนทั่วตัวจะมีทั้งหมดสามสี ได้แก่ สีดำ ขาว และน้ำตาล เป็นสัตว์บกที่อาศัยอยู่ในป่า ชอบการปีนป่าย จึงนิยมอยู่บนต้นไม้ มากกว่าบนพื้นดิน สัตว์ชนิดมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก น้ำหนักเบา อาหารหลักจะเป็นพวกผลไม้ หรือเป็นพวกแมลงตัวเล็ก ๆ ที่หาได้ง่ายตามป่าเขา ปัจจุบันจัดเป็นสัตว์ที่มีความเสี่ยง เป้นสัตว์หายาก จึงถูกคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ไม่อนุญาตให้เลี้ยงโดยทั่วไป รวมทั้งไม่อนุญาตให้มีการเพาะพันธุ์เพื่อขาย หากจะเลี้ยงจะต้องมีการขออนุญาตอย่างถูกกฎหมาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้สัตว์ชนิดนี้คงอยู่ต่อไปในอนาคต ดังนั้นอยากให้ทุกท่านตระหนักในการรักษาสมดุลธรรมชาติไม่บุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อลดอัตราการสูญพันธุ์ของสัตว์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกปี 

animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ สัตว์บก แนะนำ

รู้จักกับ แมวทะเลทราย Sand cat นักล่าสายพันธุ์จิ๋ว หน้าตาสุดน่ารัก

วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ แมวทะเลทราย หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sand cat” เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์แมวเหมียว ที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักมาก ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวดูแล้วไม่มีพิษภัย แต่บอกว่าอย่าพึ่งหลงไหลเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าแมวทะเลทรายเท่านั้น เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งแมวนักล่าที่อยู่ตามธรรมชาติ เห็นตัวเล็กน่าอุ้มแบบนี้ เจ้าเหมียวเอาตัวรอดเก่งมาก เกิดมาเพื่ออาศัยอยู่ในทะเลทรายได้อย่างสบาย ๆ เพราะว่าแมวทะเลทรายมีอุ้งเท้าสุดแกร่งที่เต็มไปด้วยขนคลุมเอาไว้ ช่วยป้องกันความร้อนทำให้เดินเหินบนทะเลทรายแสนร้อนระอุได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังตัวเบาเดินไม่ทิ้งรอยเท้ามาพร้อมกับประสาทหูที่ไวมาก จึงทำให้สามารถล่าเหยื่อได้ไม่ยาก ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแมวชนิดนี้ถึงอาศัยอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้งได้

แมวทะเลทราย มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และอาศัยอยู่ที่ไหนเอ่ย?

แมวทะเลทรายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสายพันธุ์แมวที่ครองสถิติตัวเล็กที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อไหมว่าตัวผู้จะมีน้ำหนักเพียงแค่ 2.1-3.4 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนตัวแมวจะหนักที่ 1.4-3.1 กิโลกรัม ลักษณะจะมีขนสีน้ำตาลซีดไปถึงเทาอ่อน ขนหนานุ่ม กลางสันหลังสีจะเข้ม บริเวณใบหน้ามีเส้นสีน้ำตาลแดงพาดที่หางตาไปจนถึงแก้ม ดวงตาโต ดูน่ารักน่าชังเชียวเลยแหละ แต่จุดที่พิเศษคือบริเวณเท้าที่มีขนปกคลุมหนาแน่นทำให้ทนความร้อนได้ดี 

ถิ่นที่อยู่อาศัย

แมวทะเลทรายจากประวัติการศึกษาพบว่าอาศัยในพื้นที่แห้งแล้ง ทุรกันดาน ซึ่งสามารถเจอได้ที่ทะเลทรายซาฮารา ในแถบประเทศโมรอกโก มอริเตเนีย อียิปต์ และซูดาน ทั้งยังมีถิ่นอาศัยในแถบเอเชียกลางไปจนถึงปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันจัดว่าเป็นสัตว์หายาก เนื่องจากเป็นแมวนักล่าที่มีความว่องไว ไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น ซึ่งไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์สูญพันธุ์

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวนักล่าที่ย่องเก่งมาก ประสาทหูไว เนื่องจากมีหูขนาดใหญ่ทำให้ประสิทธิภาพของการได้ยินสูงมาก เคลื่อนไหวคล่องตัว แผ่วเบา ไม่ทิ้งรอยเท้า แต่จะเป็นแมวที่ขาดทักษะของการปีนป่ายและกระโดดไม่ค่อยเก่ง ชอบหากินในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันจะหมดไปกับการพักผ่อน ซึ่งเชื่อไหมว่าแมวสายพันธุ์นี้มีทักษะการขุดที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะต้องขุดโพรงเพื่ออยู่อาศัย และน้องไม่ชอบอยู่เป็นฝูง จึงทำให้อัตราประชากรต่ำ

อาหารการกิน

แมวชนิดนี้สามารถกินอาหารได้หลากหลาย ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็น กระต่ายป่า นก สัตว์เลื้อยคลาน เจอร์บิล เจอร์บัว แมลง และสัตว์ขนาดเล็กในทะเลทราย โดยจะมีศัตรูตามธรรมชาติเป็นจำพวกงูพิษ นกเค้าขนาดใหญ่ และหมาจิ้งจอก

ความสามารถพิเศษ

เชื่อไหมว่าแมวทะเลทรายมีความสามารถสุดแปลกที่ไม่เหมือนแมวอื่น ๆ เพราะสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำเลยตลอดทั้งวัน เพราะว่าได้รับน้ำเพียงพอจากการกินเหยื่อแล้ว แถมถ้ากินเหยื่อไม่หมดน้องจะเอาไปกลบไว้ในทรายเก็บไว้กินทีหลัง พฤติกรรมจะค่อนข้างแปลก ลึกลับ น่าค้นหา

สิ่งมีชีวิตสุดลึกลับ “แมวทะเลทราย” นักย่องแห่งรัตติกาล

แมวทะเลทราย เป็นสัตว์บกที่เรียกได้ว่ามีความพิเศษมาก เนื่องจากอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ท้องทะเลทรายอันแสนร้อนอบอ้าว แมวทะเลทรายมีโครงสร้างร่างกายที่กะทัดรัด ขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่เป็นสายพันธุ์ที่อึดถึกทน เท้าเต็มไปด้วยขนหนาที่ช่วยป้องกันความร้อนจากพื้นทราย มีทักษะการล่าที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยประสาทหูที่ไว จึงทำให้หาเหยื่อได้ง่าย สามารถทราบพิกัดเหยื่อได้ระยะไกล และดักซุ่มรอเพื่อโจมตี กินอาหารได้หลากหลาย และแตกต่างกับแมวป่า โดยแมวทะเลทรายสามารถอดน้ำได้เป็นเวลายาวนาน ไม่ต้องการน้ำมากในการดำรงชีวิต เนื่องจากน้ำที่ได้จากการกินเหยื่อก็เพียงพอแล้ว ปัจจุบันแมวชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ แต่อย่างไรก็ตามด้วยอุปนิสัยที่รักสันโดด ไม่ชอบสุงสิงกับใคร จึงทำให้มีจำนวนประชากรน้อย พบเจอได้ยาก ซ่อนตัวเก่งมาก เรียกได้ว่าเป็นนักล่าย่องเบาแห่งท้องทะเลทรายเลยทีเดียว หากใครไปเที่ยวทะเลทรายแล้วได้เจอน้อง ๆ ถือว่าโชคดีมาก เพราะไม่ได้ออกมาแสดงตัวบ่อย ๆ โดยเฉพาะกลางวันจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อน และออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนเท่านั้น animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ แนะนำ

กัลปังหา ความงดงามแห่งท้องทะเล

กัลปังหา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Gorgonia sp.” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตสุดแสนมหัศจรรย์อยู่ใต้ท้องทะเล ทำให้โลกของทะเลน่าหลงใหล เพิ่มสีสันสวยงาม เปรียบเสมือนเป็นม่านพลิ้วไหวมองแล้วประทับใจไม่รู้ลืม กัลปังหาหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นพืช แต่ที่จริงแล้วเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โครงสร้างร่างกายไม่ซับซ้อน รูปร่างตามธรรมชาติจะค่อนข้างคล้ายกับต้นไม้ ขนนก หรือหวี มีสีสันที่หลากหลายทั้งสีส้ม สีแดง สีขาว สีน้ำตาลเข้ม และสีแดงอิฐ เป็นต้น นอกจากนั้นบางสายพันธุ์รูปร่างยังคล้ายกับพัด จึงทำให้เรียกว่า พัดทะเล” หรือถ้าหากมีรูปร่างเป็นเส้น ๆ คล้ายกับแส้ จะเรียกว่า “แส้ทะเล” กัลปังหาจะรูปร่างได้หลายแบบ ซึ่งสามารถแผ่กิ่งก้านตามกระแสน้ำ เพื่อใช้ในการดักกรองสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสำหรับกินเป็นอาหารนั่นเอง

ทำความรู้จักกับ “กัลปังหา” สิ่งมีชีวิตที่น่าค้นหา เจิดจรัสอยู่ในโลกใต้น้ำทะเล

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับกัลปังหากันไปคร่าว ๆ แล้ว ต่อมาอยากให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ชนิดนี้กันให้มากขึ้น มันเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ชอบอาศัยอยู่บริเวณที่มีกระแสน้ำไหล เนื่องจากว่าจะต้องดักจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไหลมากับกระแสน้ำเป็นอาหาร สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังชนิดนี้ดำรงชีวิตได้อย่างเรียบง่าย มีขนาดเล็ก และจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับปะการัง ซึ่งในทะเลประเทศไทยเองก็ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ 

ลักษณะโครงสร้าง

เป็นสัตว์ชั้นต่ำที่อาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม โดยร่วมกันสร้างเป็นโครงร่างหรือแกนกลางขึ้นมา ความสูงอยู่ที่ประมาณ 50-150 เซนติเมตร เท่านั้น กัลปังหา ลักษณะจะคล้ายพุ่มไม้ ขนนก พัด หรือแส้ ภายในเป็นองค์ประกอบของหินปูน ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับกระดูกในสัตว์ชั้นสูง มีสีสันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะสีขาว สีแดง สีน้ำตาล สีแดงอิฐ แต่ไม่มีสีดำ ในส่วนของหัวจะมีหนวดซึ่งเป็นหนวดพิษเอาไว้ทำหน้าที่ในการจับกินอาหาร

การสืบพันธุ์

การสืบพันธุ์ กัลปังหา สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ โดยสามารถสืบพันธุ์ได้โดยมีวิธีการดังนี้

  • แบบอาศัยเพศ : มีการปฏิสนธิภายในระหว่างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียที่มาจากต่างโคโลนีกัน
  • แบบไม่อาศัยเพศ : เป็นการแตกหน่อ ซึ่งรุ่นลูกที่ได้จะมีลักษณะเหมือนพ่อแม่ทุกประการ

โดยภาวะปกติมักจะมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศมากกว่าอาศัยเพศ ซึ่งเป็นการดำรงพันธุ์อย่างง่าย และมีอัตราการกลายพันธุ์ต่ำ 

ประโยชน์ กัลปังหา มีอะไรบ้าง?

กัลปังหา เป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่ประโยชน์หลากหลายด้าน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ใต้ท้องทะเลขนาดเล็ก ทั้งยังมีความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นเครื่องรางของขลัง จึงทำให้เกิดค่านิยมแบบผิด ๆ และไม่เพียงเท่านั้นคนจีนเชื่อว่าเป็นสมุนไพรที่บำรุงร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อเหล่านี้ทำให้เกิดการบุกรุกธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมใต้ท้องทะเล และหากกัลปังหาถูกทำลาย จะส่งผลต่อสัตว์เล็กและระบบนิเวศทะเล ทำให้สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยไม่มีที่หลบภัยจากนักล่า ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีแหล่งฟักไข่ เกิดผลกระทบทำให้ระบบนิเวศทะเลพังเสียหายได้ 

ถิ่นที่อยู่อาศัย

สามารถดำรงชีวิตได้ในบริเวณเขตทะเลลึกและตื้น ซึ่งในประเทศไทยสามารถพบได้ทั้งบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามัน

สรรพคุณทางยา

ในตำรายาไทย เชื่อว่าสามารถนำมาใช้ในการสมานแผล แก้บาดแผลตามเนื้ออ่อน และแก้หนังถลอกฉีกขาดได้อีกด้วย 

กัลปังหา สิ่งมีชีวิตที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

กัลปังหาแม้จะเป็นสัตว์ทะเลที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในทะเลน้ำลึกและตื้น แต่ปัจจุบันพบว่าพวกมันถูกรุกราน และทำลายอย่างหนัก จากน้ำมือของมนุษย์ ทำให้เกิดภาวะขาดความสมดุลในระบบนิเวศ ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับปะการัง ที่เกิดสภาวะปะการังฟอกขาว ดังนั้นอยากให้ทุกคนตระหนัก และใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อคงรักษากัลปังหาสิ่งมีชีวิตที่สวยงามใต้ท้องทะเลนี้เอาไว้ในอนาคต เนื่องจากกัลปังหาเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กในท้องทะเล เป็นที่หลบภัย และเป็นบริเวณฟักไข่ เพราะฉะนั้นหากถูกโดยทำลายไปจำนวนมาก จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอย่างแน่นอน ดังนั้นเราควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตอันแสนสวยงามนี้ ยังคงตั้งสง่าในพื้นท้องทะเล animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน แนะนำ

เต่ายักษ์พินตา หรือเต่ากาลาปากอส สิ่งมีชีวิตที่คงเหลือเพียงแค่ชื่อ

เต่ายักษ์พินตา (Pinta Island Tortoise) เป็นเต่าสายพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในเกาะพินตาแห่งหมู่กาลาปากอส ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งมีนักสำรวจที่ชื่อว่า Rollo Beck ได้ค้นพบเต่าชนิดนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1906 และไม่สามารถพบเห็นได้ที่ไหนอีกเลย จนกระทั่งต่อมามีผู้ค้นพบเต่ายักษ์พินตาหรือเต่ากาลาปากอส ที่เหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้น โดยตั้งชื่อว่า Lonesome George มีฉายาว่า “จอร์จผู้โดดเดี่ยว” ซึ่งมีอายุร่วม 100 ปี ปัจจุบันจอร์จได้เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้เต่ายักษ์พินตาจัดเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเต่าชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกาะพินตา หมู่กาลาปากอส แต่น่าเสียดายที่จะไม่ได้เห็นเต่าชนิดนี้ตัวเป็น ๆ เสียแล้ว

reptile

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเต่ายักษ์พินตา พี่ใหญ่ที่กินแต่พืชแต่ตัวโตมาก

เต่ายักษ์พินตา อย่างที่รู้กันว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งตัวสุดท้าย “จอร์จ” ตายไปเมื่อปี 2012 ทำให้ไม่มีสัตว์ชนิดนี้หลงเหลืออยู่ เต่าไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ จริง ๆ แล้วเป็นสัตว์เลื้อยคลานมีขนาดตัวหลายไซส์ กินพืชเป็นอาหารหลัก มีกระดองห่อหุ้ม และมีผิวหนังที่หนามาก 

ลักษณะสำคัญ

เต่ายักษ์พินตาเป็นเต่าที่มีขนาดมหึมา ความยาวรวมตั้งแต่หัวถึงหางประมาณ 90 เซนติเมตร และมีน้ำหนักที่หนักมากถึง 200 กิโลกรัม มีหัวขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก สามารถยืดของออกจากกระดองได้ยาวเลยทีเดียว มีขาสี่ข้างที่แข็งแรง ลำตัวโค้ง สามารถสังเกตและแยกจากเต่าสายพันธุ์อื่นได้ง่าย

อายุขัย

เต่าสายพันธ์นี้มีอายุที่ยาวนานมากเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาจมีอายุตั้งแต่หลายสิบปีถึงหลายสิบสองร้อยปี

ถิ่นกำเนิด

ถิ่นกำเนิดและอาศัยอยู่บนเกาะพินตา (Pinta Island) ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos Islands) ในท้องทะเลแปซิฟิกตอนกลาง หมู่เกาะกาลาปากอสตั้งอยู่ในทวีปเอกเมริกาใต้ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอกวาดอร์ (Ecuador) และเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ได้รับการป้องกันอย่างเคร่งครัด

reptile1

อาหารการกิน

เต่าชนิดนี้ถึงแม้จะมีขนาดตัวใหญ่อลังการมาก แต่เป็นสัตว์กินพืช โดยจะเป็นพืชต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้พุ่มเล็ก เหง้าพืช หรือหญ้าที่อยู่ตามพื้น ในช่วงเวลาการกินอาหารเต่าจะยืดคอออกจากกระดอง และเล็มใบไม้ใบหญ้ากินอย่างเอร็ดอร่อย

ลักษณะอุปนิสัย

เต่ายักษ์พินตา เป็นสัตว์ที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จะไม่มีข้อมูลการศึกษาแน่ชัดในเรื่องของพฤติกรรม แต่ตัวสุดท้ายเจ้าจอร์จที่ตายไปเมื่อปี 2012 จากการสังเกตพบว่าเป็นสัตว์ที่มีความอ่อนน้อม ชอบอยู่ลำพัง ปรับตัวได้ดีเข้ากับสภาพแวดล้อม สามารถอาศัยได้บริเวณหนาวเย็น และเป็นเต่าบกจึงหาอาหารกินบนพื้นดิน ไม่สามารถหาอาหารในน้ำได้

สาเหตุการสูญพันธุ์

การขาดแคลนอาหารและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ภาวะฝนตกน้อย และการบุกรุกถิ่นฐานของมนุษย์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เต่าชนิดนี้สูญพันธุ์

reptile2

เต่ายักษ์พินตา สัตว์โลกน่ารักที่หายไปจากเกาะพินตา แห่งหมู่เกาะกาลาปากอส

เต่ายักษ์พินตา เป็นสายพันธุ์เต่าที่เกิดและอาศัยอยู่บนเกาะพินตาในหมู่เกาะกาลาปากอสในทะเลแปซิฟิก มีลักษณะรูปร่างที่ใหญ่และแข็งแรง โดยมีหัวที่ใหญ่กว่าเต่าสายพันธุ์อื่นๆ และเป็นสัตว์ที่กินพืช อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและหนาวของหมู่เกาะกาลาปากอส อาหารหลักของเต่ายักษ์พินตาเป็นใบพืชเลื้อยคลานต้นเตี้ยตามพื้นดินเพราะกินง่าย เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยยาวนาน แต่น่าเสียดายที่ว่าตอนนี้ขึ้นสถานะเป็นสัตว์สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว หากใครที่อยากเห็นหน้าตาของเต่ายักษ์พินตา สามารถเดินทางไปดูร่างของปู่จอร์จได้ที่พิพิธภัณฑ์ Charles Darwin Foundation ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะ Santa Cruz ในหมู่เกาะกาลาปากอส พิพิธภัณฑ์นี้เป็นสถานที่ที่มีการศึกษาและการอนุรักษ์ธรรมชาติของหมู่เกาะกาลาปากอส และเป็นที่อยู่ของศูนย์การศึกษาและความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์และสิ่งมีชีวิตในหมู่เกาะนี้ animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ แนะนำ

สัตว์ดึกดำบรรพ์ ร่องรอยที่หลงเหลือจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

สัตว์ดึกดำบรรพ์ ร่องรอยที่หลงเหลือจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

สัตว์ดึกดำบรรพ์

สัตว์ดึกดำบรรพ์ การที่จะถูกเรียกว่าซากดึกดำบรรพ์ได้นั้นมาจากการถูกแปรสภาพหรือถูกธรรมชาติเก็บรักษาไว้อยู่ในชั้นของหินเป็นเวลายาวนานมาก เราสามารถหาประโยชน์จากซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ไหมนั้น คำตอบคือได้ พวกซากสามารถบอกกิจกรรมต่าง ๆ ของสัตว์เหล่านั้นได้ ว่าพวกมันกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น การศึกษาซากเหล่านี้มักเล็งเห็นความสำคัญของเวลา ทำไมต้องเป็นเวลา เพราะว่าเวลานาน ๆ มาก ๆ บอกถึงการวิวัฒนาการของสัตว์เหล่านั้นได้ด้วย กล่าวคือสามารถทราบถึง สัตว์ดึกดำบรรพ์ มีวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน จากสัตว์อะไรมาก่อน หรือมีบรรพบุรุษเป็นอะไรมาก่อน

สัตว์ดึกดำบรรพ์ กับการวิวัฒนาการมาสู่ปัจจุบัน

สัตว์ดึกดำบรรพ์ ในปัจจุบันมีให้พบเห็นอยู่บ่อยครั้งมาก เราจะมีภาพจำเป็นพวกไดโนเสาร์ หรือยุงขนาดใหญ่ที่โดนแช่แข็งในยางไม้อำพัน แล้วทำไมปัจจุบันเราไม่เห็นยุงขนาดใหญ่เหมือนในยางไม้อีกล่ะ นั้นเป็นเพราะว่ายุงได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ง่ายต่อการหลบหลีก และยังง่ายต่อการดำรงชีวิตในด้านต่าง ๆ สังเกตได้อีกว่าสัตว์บางชนิดมีลักษณะคล้ายกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ หรือมีต้นแบบมาจากสัตว์ดึกดำบรรพ์ หลังจากที่เรานำมาเทียบความคล้าย โครงสร้าง การเรียงกันของโครงกระดูก ซึ่งข้อมูลนี้สามารถทราบถึง สัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่เคยมีอยู่ในอดีต 

  • อาร์คีลอน เป็นเต่าทะเลสูญพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด พบฟอสซิล โดยพบซากโดยประมาณในปี ค.ศ.1895 ที่รัฐเซาท์ ดาโคตา ขนาดของมันที่ค้นพบที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวมากกว่า 4 เมตร หนักประมาณ 2 ตัน อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 75-65 ล้านปีก่อน สัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่สูญพันธุ์ ไปพร้อมกับไดโนเสาร์ มันเป็นบรรพบุรุษของเต่าทะเลในปัจจุบัน กระดองของมันไม่แข็งเหมือน เหมือนเต่าปัจจุบัน แต่จะเหนียวในเนื้อ และมีกระดูกหุ้มบางส่วน
  • ไทรออปส์ หรือกุ้งไดโนเสาร์ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์เกิดในยุคคาร์บอนิฟอรัสถูกยกให้เป็นฟอสซิลที่ยังมีชีวิต เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง อาศัยในน้ำจืด มีขนาดเล็กประมาณ 1-3 นิ้ว มีอายุประมาณ 300 ปี สามารถผสมพันธุ์ได้ในตัวเอง แต่พบไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่เป็นเพศผู้ หรือเพศเมีย อย่างใดอย่างหนึ่ง สาเหตุที่มันอยู่รอดได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่า ไทรออปส์ตัวเมียใช้ขาสร้างถุงใส่ไข่ ส่วนของไข่จะถูกหุ้มด้วยเปลือก ทั้งเพื่อรักษาตัวอ่อนไว้ซึ่งสามารถอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการฟักตัว เช่น ร้อนจัด หนาวจัด ไข่จะถูกฟักเป็นตัวเมื่อไข่แห้งเต็มที่ แล้วกลับมาเปียกน้ำอีกครั้งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม 
  • ไซยาโนแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ตัวของมันเป็นแบคทีเรียที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ โดยมันเป็นสาหร่ายชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับนิวเคลียสของแบคทีเรีย และบางชนิดยังมีคุณสมบัติตรึงไนโตรเจนในอากาศได้ และมีคุณสมบัติทางชีวเคมีคล้ายแบคทีเรียด้วย แตกต่างจากแบคทีเรีย ตรงที่สาหร่ายชนิดนี้มีคลอโรฟิลล์และมีความสามารถในการปล่อยออกซิเจนออกสิ่งแวดล้อมด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งไม่สามารถพบในแบคทีเรีย 
  • ช้างแมมมอธ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ 4.8 ล้านปีก่อน และสูญพันธุ์ไปเมื่อ 13,000-60,000 ปี เคยอาศัยอยู่แถบอเมริกาเหนือและยูเรเซีย น้ำหนักราว 6-8 ตัน อาศัยอยู่ในยุคน้ำแข็งเมื่อ 20,000 ปีก่อน แต่สูญพันธุ์ไปเพราะถูกมนุษย์ยุค หินล่า มีขนยาวปกคลุมเพื่อป้องกันความหนาวมีงายาว และโค้ง การค้นพบซากแมมมอธ สามารถนำมาศึกษาวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก และยังสามารถทราบถึง สัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่เคยมีอยู่ในอดีต เพราะแมมมอธเคยผ่านช่วงเวลานั้นมา ค.ศ. 2007 ได้มีการพบซากลูกช้างสูง 130 เซนติเมตร น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ใกล้กับแม่น้ำยูริเบ 
  • เสือเขี้ยวดาบ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ อาศัยอยู่ในทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชียและอเมริกาเหนือ ในเขตทุ่งหญ้าสเตปส์ ทุ่งหญ้าสะวันนา ทุ่งหญ้าแพร์รี่ ป่าไม้ผลัดใบและป่าดงดิบ เมื่อราว 10,000 ปีก่อน รูปร่างและขนาด ขาหน้ายาวกว่าขาหลัง หางสั้น ฟันเขี้ยวบนยาวแบนและโค้งแบบมีดดาบ เสือเขี้ยวดาบสืบเชื้อสายมาจาก โปรไอลูรัส สัตว์ตระกูลแมวชนิดแรกของโลก ในปัจจุบันสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดมากที่สุดอาจเป็นเสือลายเมฆ 

สัตว์ดึกดำบรรพ์เป็นส่วนหนึ่งขอคำว่าซากดึกดำบรรพ์ซึ่งสามารถทราบถึงการที่สัตว์เหล่านี้เคยมีอยู่ในอดีต ได้โดยจะทิ้งตัวของโครงกระดูก รอยเท้า อีกทั้งยังมีสัตว์บางชนิดที่เป็น สัตว์ดึกดำบรรพ์ มีวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าสัตว์พวกนี้มีการปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อความอยู่รอด

 

 

 

 

สนับสนุนโดย : 

https://hilospec.com เว็บคาสิโนออนไลน์อันดับ1 ที่ได้เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน โดยทางเราเป็นเว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ำที่ยิ่งกว่าเว็บทั่วไป มาพร้อมเกมเดิมพันมากมายแบบไม่อั้นแน่นอน

Categories
ความรู้ แนะนำ

สัตว์เลี้ยง เพื่อนคลายเหงาที่คอยเคียงข้างกัน

แนะนำ

สัตว์เลี้ยง คือสัตว์ที่ได้รับการดูและคุ้มครองโดยมนุษย์ มีความผูกพัน เป็นมิตรต่อกันระหว่างสัตว์เลี้ยง และผู้เลี้ยง สัตว์ที่เลี้ยงได้จะต้องไม่ใช่สัตว์สงวน และถูกกฎหมาย แต่ละพื้นที่จะมีกฎหมายที่ต่างกันไป ควรศึกษาก่อนจะนำสัตว์มาเลี้ยง รวมถึงต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ให้ละเอียด เช่น วิธีการเลี้ยงดู อาหารที่กิน พฤติกรรมของสัตว์ พื้นที่ที่เราอยู่นั้นเหมาะสมต่อการเลี้ยงหรือไม่ รวมถึงการคำนึงถึงความพร้อมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย หรือเวลา เมื่อนำมาเลี้ยงก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อตนเอง และผู้อื่น ควรมีความรับผิดชอบ เอาใจใส่ต่อสัตว์เลี้ยงของตน ส่วนใหญ่ สัตว์เลี้ยง ให้ความเพลิดเพลิน การเลี้ยงสัตว์เหล่านี้จึงมีประโยชน์ต่อทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจของผู้เลี้ยง เปรียบเสมือนเรามีเพื่อนคนหนึ่งเลย 

สัตว์เลี้ยง มีมากมายหลายชนิดให้ทำความรู้จัก

สัตว์เลี้ยง สามารถช่วยคลายความเหงาจากการอยู่คนเดียว สร้างความเพลิดเพลินโดยเหล่า สัตว์เลี้ยง ให้ความเพลิดเพลิน คลายความเครียดจากงาน หรือเลี้ยงไว้ประดับบ้านเพื่อความสวยงาม อีกทั้งยังช่วยสร้างความรับผิดชอบ เอาใจใส่ต่อสัตว์เลี้ยงของตน สัตว์เลี้ยงที่สามารถเลี้ยงได้มีมากมายให้เลือกสรร ประเภทที่คนนิยมเลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน เช่น สุนัข แมว กระต่าย นก ปลา และสัตว์เลื้อยคลาน

  • สุนัข สัตว์เลี้ยงแสนรู้ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นเวลายาวนาน ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ เป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาด สามารถฝึกฝนให้ทำตามคำสั่งได้ มีนิสัยร่าเริง สัตว์เลี้ยง ที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ คลายความเหงาให้กับผู้เลี้ยง และซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก
  • แมว มีนิสัยรักอิสระ โลกส่วนตัวสูง มักจะนอนตลอดทั้งวัน เนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่จะออกหากินเวลากลางคืน แม้จะเป็นแมวบ้านแต่ก็ยังคงมีสัญชาตญาณล่าเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนุ กิ้งก่า จิ้งจก บางคนเลี้ยงแมวไว้เพื่อเหตุผลนี้
  • นก แต่ละสายพันธุ์จะมีวิธีเลี้ยงดูที่ต่างกันไป บางชนิดไม่ชอบการสัมผัสจากมนุษย์ บางชนิดก็ถือว่าเป็น สัตว์เลี้ยง ที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ ร่าเริง เราจึงควรศึกษาอย่างละเอียดก่อนเลี้ยง นกมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงนกค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ 
  • ปลา นิยมเลี้ยงเพื่อประดับให้ดูสวยงาม หรือเสริมดวงเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน อีกทั้งยังช่วยกำจัดลูกน้ำยุงลายในบ่อน้ำ การเลี้ยงปลาจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบในการถ่ายน้ำ และให้อาหาร เพราะพฤติกรรมของปลาไม่ได้ชัดเจนเหมือนสุนัข แมว หรือสัตว์บนบก จึงต้องคอยสังเกต และมีความรับผิดชอบในการดูแล

การมี สัตว์เลี้ยง ช่วยปรับปรุงพฤติกรรมของเราให้มีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น บางคนอาจมีสุขภาพที่ดีกว่าเก่า เพราะต้องพาสัตว์เลี้ยงออกไปเดินเล่น ทำให้ได้ออกกำลังกายไปในตัว ผ่อนคลายจากความเครียด เนื่องจากการมี สัตว์เลี้ยง คลายเหงา ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับมีเพื่อนคุย เพื่อนเล่น และการเลี้ยงสัตว์นั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบอีกมากมาย เราต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะตามมา เวลาที่เราจะมีให้ กล่าวในภาพรวมนั่นก็คือ ความพร้อมที่จะดูแล ถ้าหากเราไม่มีความความพร้อมที่จะดูแลสัตว์เลี้ยงของตน ความลำบากไม่ได้ตกมาที่ตนเองเท่านั้น สัตว์เลี้ยงของเราก็จะลำบากเช่นกัน 

Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ แนะนำ

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ปลาอะไรลายคล้ายผึ้ง

แนะนำ

     ในเมื่อผึ้งเป็นแมลงที่สามารถบินได้และมีลวดลายเป็นสีเหลืองดำ มีหรือที่สัตว์บนโลกอย่างปลาจะมีบ้างไม่ได้ ซึ่งเรากำลังพูดถึง “ปลาสร้อยน้ำผึ้ง” อยู่นั่นเองค่ะ เพราะปลาชนิดนี้เขามีลวดลายที่คล้ายคลึงกับผึ้งมาก เพียงแต่บินได้เท่านั้นเอง แล้วปลาชนิดนี้จะมีอะไรน่าสนใจและเรื่องน่ารู้อะไรบ้างนั้น แวะมาอ่านที่บทความนี้ได้เลยค่ะ

ลักษณะทั่วไปของปลาสร้อยน้ำผึ้ง

     ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นปลาน้ำจืดสายพันธุ์หนึ่งที่เป็นที่นิยมในการนำไปทำเป็นอาหารและน้ำปลาในประเทศไทย โดยปลาสร้อยน้ำผึ้ง ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยสามารถพบได้ในทุกภาคไปจนถึงประเทศมาเลเซีย ส่วนในต่างประเทศนั้นจะพบบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยปลาสร้อยน้ำผึ้งลักษณะของมันหากเป็นสายพันธุ์ปกติจะมีสีเช่นเดียวกับผึ้ง โดยบริเวณลำตัวจะยาวคล้ายทรงกระบอก มีสีเหลืองทั่วตัวเสียส่วนใหญ่ และจะมีจุดแต้มหรือลายแต้มที่เป็นสีดำอยู่ทั่วตัว จึงเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งนั่นเอง

     ซึ่งก็ยังมีปลาสร้อยน้ำผึ้งที่มีการดัดแปลงสายพันธุ์อีกด้วย เช่น ปลาสร้อยน้ำผึ้งเผือก ที่บริเวณลำตัวจะเป็นสีเหลืองปนขาวเผือกนั่นเอง อาหารปลาสร้อยน้ำผึ้งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่สามารถพบได้บริเวณแหล่งน้ำที่มันอาศัยอยู่ เช่น ตะไคร่น้ำ และซากพืชซากสัตว์ที่หล่นลงไปในแม่น้ำในบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่ เป็นต้น

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง มีหลายชื่อนะรู้ยัง

     ชื่อที่เรารู้จักกันของปลาชนิดนี้ก็คือ “ปลาสร้อยน้ำผึ้ง” แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมันยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อเลยค่ะ ซึ่งแต่ละชื่อเรียกนั้นก็จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่มันอยู่อาศัยโดยในประเทศไทยก็มีอยู่ทุกภาคชื่อของพวกมันจึงเปลี่ยนไปตามภาคนั่นเอง เช่น ปลาผึ้ง , ปลาน้ำผึ้ง , หรือปลาปักษ์ใต้ เป็นต้น และหากใครที่อยากเลี้ยงปลาสร้อยน้ำผึ้งนั้นก็สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามร้านขายปลาทั่วไป โดยปลาสร้อยน้ำผึ้งราคาของมันนั้นจะไม่สูงมาก อยู่ที่ประมาณ 100 บาท ขึ้นไปเท่านั้น

บทสรุป 

     ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งก็มีการซื้อขายปลาชนิดนี้กันเป็นเรื่องธรรมดา โดยลวดลายของมันจะมีความคล้ายคลึงกับผึ้งนั่นก็คือ จะเป็นสีเหลืองที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำ เราจึงรียกมันว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งนั่นเอง

 

 

 

เว็บบอล

Categories
สัตว์บก แนะนำ

ยีราฟ : ความน่าทึ่งของเจ้าคอยาวแห่งโลกแอฟริกา

แนะนำ

คุณอาจจะเคยเห็นยีราฟฝูงใหญ่อยู่ตามสวนสัตว์ต่าง ๆ แต่คุณรู้หรือไม่ว่าในความเป็นจริงเจ้ายีราฟพวกนี้กำลังใกล้จะสูญพันธุ์แล้ว หากคุณเคยไปเที่ยวสวนสัตว์สักแห่ง ส่วนที่คุณไม่ควรพลาดเลยก็คือการได้ไปชมความน่าทึ่งของบรรดายีราฟคอยาวที่ดูแปลกตา และการได้ป้อนอาหารเจ้ายีราฟเหล่านี้คงเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็ก ๆ ไม่ใช่น้อย แต่หากคุณต้องการทำความรู้จักกับพวกมันให้มากขึ้น ทั้งประวัติยีราฟ ถิ่นที่อยู่อาศัยตามธรรมชาติ ชีวิตอันน่าทึ่งจริง ๆ ของยีราฟเหล่านี้เป็นอย่างไร คุณจะต้องไม่พลาดบทความนี้

ก่อนอื่นเรามาดูประวัติยีราฟกัน เจ้ายีราฟคอยาวที่มีรูปร่างน่าทึ่งนี้ ยีราฟถือเป็นสัตว์บกที่สูงที่สุดในโลก ที่เลี้ยงลูกด้วยนม และเคี้ยวเอื้อง พวกมันจะมีลำตัวสูง ขายาว คอยาว และ มี 2 เขา ยีราฟส่วนใหญ่จะมีลำตัวสีเหลืองสลับกับลายน้ำตาลเข้ม มีลิ้นยาวสีม่วงล้ำ พวกมันอาจจะมีความสูงได้ถึง 5.5 เมตร และหนักถึง 900 กิโลกรัม

เนื่องจากการที่เจ้ายีราฟมีคอที่ยาว คุณรู้หรือไม่ว่ายีราฟกินอะไร อาหารยีราฟจึงได้แก่ ยอดต้นไม้สูง หรือพุ่มไม้สูงที่มีหนามแหลมซึ่งส่วนใหญ่จะมีพิษ แต่พิษ หรือหนามเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรเจ้ายีราฟได้เนื่องจากพวกมันมีลิ้นที่หนาและยาวที่ช่วยให้พวกมันสามารถกินอาหารได้อย่างสบาย

ความน่าทึ่งของเจ้ายีราฟยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ เรื่องน่ารู้ของยีราฟ ที่จะทำให้คุณทึ่งต่อไปคือ คอยาวๆ ของเจ้ายีราฟนอกจากจะช่วยให้มันหาอาหารกินได้ง่ายแล้ว ยีราฟเพศผู้ยังใช้คอของมันกวัดแกว่งต่อสู้กันเพื่อแย่งยีราฟเพศเมียด้วย และแน่นอนว่าอีกประโยชน์ของการที่มีคอยาวๆ ก็คือพวกมันสามารถมองเห็นศัตรูที่เป็นบรรดานักล่าจากระยะไกลได้

อีกหนึ่งความน่าทึ่งของยีราฟคือ พวกมันมักจะให้เวลาในการนอนหลับไม่กี่นาที และไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำบ่อย เนื่องด้วยลักษณะของเจ้ายีราฟที่ดูเก้งก้าง ทำให้พวกมันนั่งและลุกยืนขึ้นค่อนข้างจะลำบาก รวมถึงการก้มล้มลงไปดื่มน้ำตามแหล่งน้ำที่ดูจะไม่ค่อยสะดวกนัก แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะในตอนที่เจ้ายีราฟกินใบไม้ที่อยู่ตามยอดไม้ หรือยอดพุ่มไม้ที่พวกมันใช้เป็นอาหารก็จะให้พวกมันได้รับน้ำได้อย่างเพียงพอแล้ว

ยีราฟยังมีความน่าทึ่งอีกมากมายที่จะทำให้คุณต้องร้อง ว๊าว! แต่น่าเสียดายที่จากการสำรวจพบว่าในปัจจุบันมียีราฟเหลือบนโลกแค่เพียง 110,000 ตัวเท่านั้น เราได้เพียงแต่คาดหวังว่าคนรุ่นหลังเราคงได้มีโอกาสพบกับเจ้ายีราฟคอยาวที่น่าทึ่งเหล่านี้แบบตัวเป็นๆ อย่างที่เราเคยสัมผัสได้ต่อไปอีกนาน ๆ

Categories
สัตว์น้ำ สัตว์น้ำเค็ม แนะนำ

“ฉลาม” เป็น “นักล่า” ที่น่ากลัวจริงหรือ?

แนะนำ

หากเราจะพูดถึง ฉลาม หรือ ปลาฉลาม คุณจะนึกถึงอะไร? เรามั่นใจว่ามากกว่า 70% ที่จะนึกถึงความดุร้ายของฉลามขาว หรือจะเป็นความน่าเกรงขามของฉลามวาฬ รวมถึงเหตุการณ์ที่น่ากลัวของปลาฉลามชนิดต่าง ๆ ที่เราได้เห็นตามสื่อหรือภาพยนตร์ระทึกขวัญมากมาย แต่จะมีสักกี่คนที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับนักล่าที่น่าเกรงขามนี้ว่าจริง ๆ แล้ว พวกมันมีความน่าอัศจรรย์ที่คุณยังไม่ได้รู้อีกมากมาย ลองอ่านบทความนี้แล้วคุณจะรู้ว่าความน่าอัศจรรย์ที่เรากล่าวถึงคืออะไร

ประวัติปลาฉลาม

ที่คุณต้องรู้คือ ฉลามทุกชนิดเป็นสัตว์กินเนื้อ ฉลามส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว มีเพียงฉลามน้ำจืด หรือน้ำกร่อยบางชนิดที่ออกลูกเป็นไข่ และสุดท้ายนักล่าเหล่านี้มีโครงสร้างร่างกายที่มีแต่กระดูกอ่อน นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกมันถึงได้ว่ายน้ำได้ปราดเปรียวนัก

ฉลามเป็นสัตว์ที่มีหลากหลายสายพันธุ์มาก และแต่ละปลาฉลามแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีรูปร่าง หน้าตา ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เช่น ฉลามวาฬ ที่ถือว่าเป็นฉลามที่มีขนาดใหญ่ที่สามารถมีความยาวได้ถึง 20 เมตร แต่ฉลามวาฬเหล่านี้กลับมีฟันซี่เล็กและกินแพลงตอนเป็นอาหาร, ฉลามขาวเป็นฉลามที่นับว่าดุร้ายมากสายพันธุ์หนึ่ง ลักษณะเด่นของฉลามขาว คือพวกมันจะมีท้องสีขาวและแผงเหงือกข้างลำตัว หรือ ฉลามหัวค้อนที่มีลักษณะที่ดูแปลกตา คือพวกมันจะมีส่วนหัวที่แบนราบคล้ายกับค้อน เป็นต้น

นอกจากนั้นฉลาม ยังได้ขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้สร้างสมดุลแห่งท้องทะเล” จะมีสักกี่คนที่จะรู้ว่าปลาฉลามที่หลายคนเรียกว่านักล่านั้น อันที่จริงแล้วพวกมันเป็น 1 ในผู้สร้างสมดุลแห่งท้องทะเล ซึ่งบรรดาฉลามไม่ว่าจะเป็น ฉลามวาฬ ฉลามขาว ฉลามหัวค้อนหรือไม่ว่าจะเป็นฉลามสายพันธุ์ไหน ส่วนใหญ่พวกมันจะเลือกเหยื่อที่เชื่องช้า ป่วย อ่อนแอ หรือใกล้ตาย นั่นก็เหมือนกับนักล่าเหล่านี้กำลังพยายามที่จะช่วยเลือกสรร และจัดสรรให้โลกใต้น้ำอยู่ในความสมดุลเพื่อไม่ให้มีปลากินพืชมากไป หรือช่วยไม่ให้มีสัตว์น้ำที่มีขนาดใหญ่รองลงมาจากพวกมันมากเกินไป แต่ด้วยสัญชาตญาณนี้ของปลาฉลามทำให้เมื่อมีคนลงไปว่ายน้ำใกล้พวกมัน ทำให้พวกมันคิดว่านั่นคือ “เหยื่อ” และได้ทำอันตรายกับคนเหล่านั้นได้


แต่เราอาจเรียกไม่ได้เต็มปากอีกต่อไปว่า ปลาฉลามคือนักล่า เพราะในความเป็นจริงแล้วพวกมันกลับกลายเป็นเหยื่อสำหรับมนุษย์ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีองค์กรมากมายถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อคอยพิทักษ์เจ้าฉลามพวกนี้ เพื่ออนุรักษ์นักล่าเหล่านี้ให้คงอยู่ต่อไปจนชั่วลูกชั่วหลาน.

Categories
สัตว์ปีก แนะนำ

“ค้างคาว” สัตว์ มหัศจรรย์ หรือ น่าขนลุก

แนะนำ

ในช่วงปี 2019 – 2020 ที่ผ่านมา คงปฏิเสธไม่ได้ว่าใคร ๆ ก็คุ้นชินกับคำว่า ค้างคาวมากขึ้น เนื่องจาก ค้างคาว ถูกเชื่อว่าเป็นตัวพาหะที่นำเชื้อไวรัสโคโร่น่า หรือเชื้อโรคอีโบล่าเมื่อปี 2014 มาสู่คน ทำให้เกิดวิกฤตโรคติดต่อที่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีวัคซีนที่สามารถป้องกัน หรือ รักษาได้ แต่ ค้างคาวเป็นสัตว์ที่น่าขนลุก หรือ น่ารังเกียจขนาดนั้นจริงเหรอ เราลองมาทำความรู้จักกับความน่ามหัศจรรย์ของค้างคาวกันให้มากขึ้น ทั้งประวัติค้างคาว ค้างคาวกินอะไรเป็นอาหาร รวมถึงประโยชน์ของค้างคาวในระบบนิเวศ ที่จะทำให้คุณเปลี่ยนความคิดได้แน่นอน

bat1

ประวัติของค้างคาว

คุณอาจจะต้องปะหลาดใจเมื่อเรากำลังจะบอกคุณว่าค้างคาวเป็นสัตว์ที่มีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ชนิดหนึ่ง เพราะจากหลักฐานค้างคาวมีมาตั้งแต่สมัย 50 ล้านปีก่อน พวกมันถูกจัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดหนึ่ง คนไทยอาจจะคุ้นชินกับสำนวนที่ว่า “นกมีหู หนูมีปีก” ที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และนั่นก็ถือเป็นเอกลักษณ์เด่นของค้างคาวก็ว่าได้ ค้างคาวมีมากมายหลายสายพันธุ์ พบกระจัดกระจายไปทั่วโลก รวมถึงสายพันธุ์ที่คุณอาจจะคุ้นชินอย่าง ค้างคาวแม่ไก่ หรือ ค้างคาวดูดเลือดแวมไพร์

แน่นอนว่า “ค้างคาวดูดเลือด” ที่เรากำลังพูดถึงไม่ใช่ แดร็กคูล่า หรือผีดูดเลือดอย่างแวมไพร์ แต่เรากำลังจะพูดถึง ค้างคาวดูดเลือดที่เป็นค้างคาวขนาดเล็กที่ดูดเลือดสัตว์อื่นที่ใหญ่ว่าเป็นอาหารสามารถพบได้ในแถบทวีปอเมริกา แต่หากคุณถามว่าโดยปกติค้างคาวกินอะไรเป็นอาหาร เราก็ต้องจำแนกให้คุณรู้ก่อนว่าค้างคาวแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ ค้างคาวขนาดใหญ่ที่มีสายตาดี พวกนี้มักจะกินผลไม้ น้ำหวาน เกสรดอกไม้เป็นอาหาร อย่างค้างคาวแม่ไก่ เป็นต้น ส่วนค้างคาวอีกประเภทคือ ค้างคาวที่สายตาไม่ดี หรืออาจจะตาบอด ซึ่งส่วนใหญ่กินแมลง ปลา กบ หรืออาจจะกินเลือดของสัตว์ที่ใหญ่กว่าอย่างค้างคาวดูดเลือด

หากคุณยังมีความคิดที่ว่าค้างคาวเป็นสัตว์ที่น่าขนลุก น่าขยะแขยง สกปรกทำให้เป็นพาหะของโรคระบาดร้ายแรง แต่เราอยากจะเปลี่ยนความคิดของคุณใหม่ เพราะในความจริงค้างคาวเป็นสัตว์ที่สะอาดมาก เพราะพวกมันมักจะทำความสะอาดตัวเองอยู่เสมอเช่นเดียวกับ สุนัข หรือ แมว อีกทั้งค้างคาวไม่ว่าจะเป็นค้างคาวขนาดใหญ่อย่างค้างคาวแม่ไก่ หรือค้างคาวขนาดเล็กอย่างค้างคาวดูดเลือด ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์กับระบบนิเวศทั้งสิ้น พวกมันมีหน้าที่ช่วยกำจัดแมลงที่เป็นศัตรูพืช เชื่อหรือไม่ว่าในหนึ่งคืน พวกมันสามารถกินแมลงได้มากเท่าขนาดน้ำหนักตัวมันเลยทีเดียว นอกจากนั้นมูลของค้างคาวเหล่านี้ยังสามารถนำมาใช้เป็นปุ๋ยชั้นดีได้อีกด้วย

คุณจะเห็นแล้วว่าในความจริง ค้างคาว ก็เป็นเพียงสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่มีหน้าที่ในการรักษาสมดุลระบบนิเวศ แต่แค่เพียงรูปร่าง หน้าตา สีสัน ของพวกมันที่ดูเหมือนจะไม่เป็นมิตรนัก ทำให้หลายๆ คนรู้สึกว่าพวกมันเป็นสัตว์ที่ดูน่าขนลุก แต่หากเรามองลึกๆ ลงไป อันตราย หรือเชื้อโรคที่พวกมันเป็นพาหะมาสู่มนุษย์อย่างเราได้ ก็เพราะว่าเราไปรบกวนพวกมันก่อนนั่นเอง