Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน แนะนำ

เต่ายักษ์พินตา หรือเต่ากาลาปากอส สิ่งมีชีวิตที่คงเหลือเพียงแค่ชื่อ

เต่ายักษ์พินตา (Pinta Island Tortoise) เป็นเต่าสายพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในเกาะพินตาแห่งหมู่กาลาปากอส ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งมีนักสำรวจที่ชื่อว่า Rollo Beck ได้ค้นพบเต่าชนิดนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1906 และไม่สามารถพบเห็นได้ที่ไหนอีกเลย จนกระทั่งต่อมามีผู้ค้นพบเต่ายักษ์พินตาหรือเต่ากาลาปากอส ที่เหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้น โดยตั้งชื่อว่า Lonesome George มีฉายาว่า “จอร์จผู้โดดเดี่ยว” ซึ่งมีอายุร่วม 100 ปี ปัจจุบันจอร์จได้เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้เต่ายักษ์พินตาจัดเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเต่าชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกาะพินตา หมู่กาลาปากอส แต่น่าเสียดายที่จะไม่ได้เห็นเต่าชนิดนี้ตัวเป็น ๆ เสียแล้ว

reptile

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเต่ายักษ์พินตา พี่ใหญ่ที่กินแต่พืชแต่ตัวโตมาก

เต่ายักษ์พินตา อย่างที่รู้กันว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งตัวสุดท้าย “จอร์จ” ตายไปเมื่อปี 2012 ทำให้ไม่มีสัตว์ชนิดนี้หลงเหลืออยู่ เต่าไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ จริง ๆ แล้วเป็นสัตว์เลื้อยคลานมีขนาดตัวหลายไซส์ กินพืชเป็นอาหารหลัก มีกระดองห่อหุ้ม และมีผิวหนังที่หนามาก 

ลักษณะสำคัญ

เต่ายักษ์พินตาเป็นเต่าที่มีขนาดมหึมา ความยาวรวมตั้งแต่หัวถึงหางประมาณ 90 เซนติเมตร และมีน้ำหนักที่หนักมากถึง 200 กิโลกรัม มีหัวขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก สามารถยืดของออกจากกระดองได้ยาวเลยทีเดียว มีขาสี่ข้างที่แข็งแรง ลำตัวโค้ง สามารถสังเกตและแยกจากเต่าสายพันธุ์อื่นได้ง่าย

อายุขัย

เต่าสายพันธ์นี้มีอายุที่ยาวนานมากเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาจมีอายุตั้งแต่หลายสิบปีถึงหลายสิบสองร้อยปี

ถิ่นกำเนิด

ถิ่นกำเนิดและอาศัยอยู่บนเกาะพินตา (Pinta Island) ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos Islands) ในท้องทะเลแปซิฟิกตอนกลาง หมู่เกาะกาลาปากอสตั้งอยู่ในทวีปเอกเมริกาใต้ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอกวาดอร์ (Ecuador) และเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ได้รับการป้องกันอย่างเคร่งครัด

reptile1

อาหารการกิน

เต่าชนิดนี้ถึงแม้จะมีขนาดตัวใหญ่อลังการมาก แต่เป็นสัตว์กินพืช โดยจะเป็นพืชต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้พุ่มเล็ก เหง้าพืช หรือหญ้าที่อยู่ตามพื้น ในช่วงเวลาการกินอาหารเต่าจะยืดคอออกจากกระดอง และเล็มใบไม้ใบหญ้ากินอย่างเอร็ดอร่อย

ลักษณะอุปนิสัย

เต่ายักษ์พินตา เป็นสัตว์ที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จะไม่มีข้อมูลการศึกษาแน่ชัดในเรื่องของพฤติกรรม แต่ตัวสุดท้ายเจ้าจอร์จที่ตายไปเมื่อปี 2012 จากการสังเกตพบว่าเป็นสัตว์ที่มีความอ่อนน้อม ชอบอยู่ลำพัง ปรับตัวได้ดีเข้ากับสภาพแวดล้อม สามารถอาศัยได้บริเวณหนาวเย็น และเป็นเต่าบกจึงหาอาหารกินบนพื้นดิน ไม่สามารถหาอาหารในน้ำได้

สาเหตุการสูญพันธุ์

การขาดแคลนอาหารและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ภาวะฝนตกน้อย และการบุกรุกถิ่นฐานของมนุษย์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เต่าชนิดนี้สูญพันธุ์

reptile2

เต่ายักษ์พินตา สัตว์โลกน่ารักที่หายไปจากเกาะพินตา แห่งหมู่เกาะกาลาปากอส

เต่ายักษ์พินตา เป็นสายพันธุ์เต่าที่เกิดและอาศัยอยู่บนเกาะพินตาในหมู่เกาะกาลาปากอสในทะเลแปซิฟิก มีลักษณะรูปร่างที่ใหญ่และแข็งแรง โดยมีหัวที่ใหญ่กว่าเต่าสายพันธุ์อื่นๆ และเป็นสัตว์ที่กินพืช อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและหนาวของหมู่เกาะกาลาปากอส อาหารหลักของเต่ายักษ์พินตาเป็นใบพืชเลื้อยคลานต้นเตี้ยตามพื้นดินเพราะกินง่าย เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยยาวนาน แต่น่าเสียดายที่ว่าตอนนี้ขึ้นสถานะเป็นสัตว์สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว หากใครที่อยากเห็นหน้าตาของเต่ายักษ์พินตา สามารถเดินทางไปดูร่างของปู่จอร์จได้ที่พิพิธภัณฑ์ Charles Darwin Foundation ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะ Santa Cruz ในหมู่เกาะกาลาปากอส พิพิธภัณฑ์นี้เป็นสถานที่ที่มีการศึกษาและการอนุรักษ์ธรรมชาติของหมู่เกาะกาลาปากอส และเป็นที่อยู่ของศูนย์การศึกษาและความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์และสิ่งมีชีวิตในหมู่เกาะนี้ animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์น้ำ สัตว์บก สัตว์ปีก

10 อันดับสัตว์สงวน ทำไมถึงต้องสงวนไว้ เคลียร์ทุกคำถามไว้แล้วที่นี่

สัตว์สงวน คือสัตว์ที่ได้ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์หายากตามกฎหมาย พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า เป็นได้ทั้งสัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วและสัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ เพื่อปกป้องเผ่าพันธุ์สัตว์เหล่านี้ให้สามารถดำรงชีวิตและขยายพันธุ์ต่อไปได้ ซึ่งจะมีการแก้ไขและอัปเดตรายชื่อสัตว์ต่าง ๆ ตามกฎหมายแต่ละฉบับ จะมีสัตว์ชนิดไหนบ้างที่ขึ้นบัญชีเป็นสัตว์สงวนของไทย ไปติดตามกันเลย

รวมลิสต์รายชื่อ สัตว์สงวน ของไทย ความรู้รอบตัวที่ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ควรรู้

สัตว์สงวน ตามพระราชบัญญัติฉบับเดิมและตราพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 ได้กำหนดไว้ว่า สัตว์ป่าสงวน หมายถึง สัตว์ป่าหายากหรือสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธุ์จำเป็นต้องสงวนและอนุรักษ์ไว้อย่างเข้มงวดตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติ ซึ่งมีรายชื่อสัตว์สงวนทั้งสิ้น 19 ชนิด เช่น

นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร (PSEUDOCHELIDON SIRINTARAE)

PSEUDOCHELIDON SIRINTARAE

สัตว์ป่าสงวน ในตระกูลนกนางแอ่น ลักษณะเด่นคือขนสีดำเหลือบเขียว ขนที่สะโพกเป็นสีขาว มาพร้อมกับขนคู่ที่ยื่นเป็นแกนออกมาบริเวณหาง มีสีขาวรอบดวงตา กระจับปากสีเหลืองอมเขียว สัตว์สงวน ที่เคยพบได้ที่บึงบอระเพ็ด จ.นครสวรรค์ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนจนถึงเดือนมีนาคม

ละองหรือละมั่ง (CERVUS ELDI)

CERVUS ELDI

สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะคล้ายกวาง โดยละองคือชื่อเรียกเพศผู้ ส่วนละมั่งคือชื่อเรียกของเพศเมีย เป็น สัตว์สงวน ที่ยังพบเห็นได้ในไทย โดยจะมี 2 สายพันธุ์ คือพันธุ์ไทยและพันธุ์พม่า เป็นสัตว์ที่เราเคยได้ยินว่ามีการ ล่าสัตว์สงวน ชนิดนี้ค่อนข้างเยอะจากกลุ่มผู้คนที่แอบลักลอบล่าสัตว์ ทำให้ต้องขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์สงวนตามกฎหมายจนถึงในปัจจุบัน

นกชนหิน (HELMETED HORNBILL)

HELMETED HORNBILL

นกชนหิน หรือนกเงือกชนิดหนึ่ง ที่จะมีจุดเด่นอยู่ที่สันบนปาก ลำตัวใหญ่ จะงอยปากยาว มีขนหาง 1 คู่ที่ยาวกว่าขนหางปกติ ประมาณความยาวตั้งแต่จะงอยจนถึงขนหางคู่นี้ยาวถึง 120 เซนติเมตร เป็นนกที่เหล่านักล่าสัตว์จะนิยมล่าเพื่อเก็บจะงอยมากสลักเพื่อตกแต่งและทำเป็นเครื่องประดับ

นกแต้วแล้วท้องดำ (PITTA GURNEYI)

PITTA GURNEYI

นกสงวนในไทย ขนาดเล็ก ที่มีสีสันสวยงาม เพศผู้จะมีสีน้ำเงินแกมฟ้าเด่นบริเวณหัวและท้ายทอย หน้าผากดำ คอขาว ใต้ปีกสีเหลืองสดใส หางสีฟ้าส่วนเพศเมีย จะมีหัวและท้ายทอยสีน้ำตาล รอบตาสีดำ ส่วนล่างเป็นสีขาวอมเหลืองพาดลายตามขวาง นกหายากพบได้ตามป่าดิบชื้นทางภาคใต้ บริเวณ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม จ.กระบี่

นกกระเรียน (GRUS ANTIGONE)

GRUS ANTIGONE

นกขนาดใหญ่ มีความสูงเฉลี่ย 2 เมตร ความยาวช่วงปีกประมาณ 2.5 เมตร สัตว์สงวนไทย ที่อาศัยรวมกันเป็นฝูง หากินตามแหล่งน้ำตื้น ๆ นอกจากขนาดใหญ่จะเป็นลักษณะเด่นของนกชนิดนี้แล้ว ลำคอสีแดงสดที่ยาวออกมาก็เป็นจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของนกชนิดนี้ที่สามารถสังเกตเห็นได้ง่าย ๆ เช่นกัน

แมวลายหินอ่อน (PARDOFELIS MARMORATA)

PARDOFELIS MARMORATA

สัตว์สงวน ขนาดกลางที่อาศัยอยู่ในป่า จุดเด่นอยู่ที่ลายบนลำตัวที่มีลักษณะคล้ายหินอ่อน ขนสีน้ำตาลอมเหลือง หางเป็นพวงขนยาวเด่นชัด มีโอกาสพบเห็นได้ตามป่าดงดิบเทือกเขาตะนาวศรีและป่าแถบภาคใต้ เป็นสัตว์ที่ออกหากินในตอนกลางคืนจึงมีสายตาที่เฉียบคมมากกว่าสัตว์อื่น ๆ เป็นสัตว์ที่นักล่าชอบจับมาทำเป็นสัตว์เลี้ยง รวมถึงขายส่งออกนอกประเทศเป็นจำนวนมาก

ควายป่า (BUBALUS BUBALIS)

BUBALUS BUBALIS

สัตว์ป่า ที่มีลักษณะคล้ายควายบ้าน แต่ใหญ่กว่า ว่องไวกว่า เขาใหญ่กว่าและดุกว่าปกติ เป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์เนื่องจากการล่าเพื่อนำเขาขนาดใหญ่และสวยงามมาเป็นของตกแต่ง ปัจจุบันพบในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าห้วยขาแข้ง จ.อุทัยธานี และตามป่าโปร่ง ทุ่งหญ้าโล่งใกล้แหล่งน้ำ

กวางผา (NAEMORHEDUS GRISEUS)

NAEMORHEDUS GRISEUS

สัตว์สงวน ที่มีโอกาสพบเจอบนยอดดอยม่อนจอง ดอยอินทนนท์และดอยเชียงดาว จ.เชียงใหม่ แต่มีความว่องไวในการหลบหนี ทำให้ผู้คนที่เห็นมักจะต้องโชคดีและอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบมาก ๆ มีลักษณะคล้ายแพะ ขนสีเทาหรือน้ำตาล มีแถบดำพาดกลางหลัง มีความยาวลำตัวประมาณ 80-120 เซนติเมตร สูงประมาณ 50-70 เซนติเมตร

พะยูน (DUGONG)

DUGONG

สัตว์ทะเลที่มีโอกาสเป็น สัตว์สูญพันธุ์ โดยมีลักษณะคล้ายแมวน้ำ อ้วนกลม มีครีบหน้าที่ใช้พยุงตัวและขุดหาอาหารจำพวกหญ้าทะเลในแถบชายฝั่งและน้ำตื้น มีจุดเด่นอยู่ที่ฟันคู่หน้าคล้ายงาช้างเพื่อใช้สำหรับต่อสู้และขุดหาอาหาร 

ปลาฉลามวาฬ (WHALE SHARK)

WHALE SHARK

สัตว์หายาก ที่อาศัยอยู่ตามทะเลเขตร้อนและอบอุ่น เป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ตัวที่โตเต็มที่มีความยาวสูงสุดถึง 15 เมตร จุดเด่นของฉลามวาฬคือจะมีจุดกลม ๆ สีขาวหรือสีเหลืองกระจายอยู่ตามแนวลำตัว ซึ่งจะเป็นเหมือนเอกลักษณ์ปรำจะตัวที่แตกต่างกันไป เป็นปลาที่นักดำน้ำมีโอกาสพบเจอได้ตามชายฝั่งทะเลของไทยทั้งชายฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน

บทสรุป

สัตว์สงวน ที่ล้มตายและกำลังจะสูญพันธุ์นั้นเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเสียดาย สัตว์ทุกชนิด ทุกตัวล้วนมีความสำคัญต่อระบบนิเวศ ดังนั้นมนุษย์ไม่ควรที่จะเข้าไปคุกคามหรือตามล่าสัตว์เหล่านี้แบบที่เราเห็นข่าว ไม่ว่าจะเป็น นาก หรือสัตว์อื่น ๆ ก็สมควรที่จะได้รับการ อนุรักษ์สัตว์ป่า เพื่อให้สัตว์เหล่านี้ได้ดำรงชีวิตและสืบทอดเผ่าพันธุ์ต่อไป animal2you.com

อ่านบทความเพิ่มเติม

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน

อัลลิเกเตอร์ขาว สิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ สัตว์ยุคดึกดำบรรพ์หายาก

อัลลิเกเตอร์ขาว (White Alligator) เป็นสัตว์ในกลุ่มตระกูลจระเข้ ที่มีชีวิตมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งสัตว์ชนิดนี้มีความพิเศษกว่าตัวอื่น ๆ ก็คือมันจะมีผิวขาวทั้งตัว เนื่องจากว่ามีความผิดปกติของเซลล์ที่ไม่สามารถสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ทำให้อัลลิเกเตอร์ขาวจึงมีสีขาวตลอดทั้งลำตัว ดูสะอาดหมดจดเสียจริง ๆ ในส่วนของดวงตานั้นมักจะมีสีฟ้าเข้มหรือสีชมพู แต่น่าเสียดายที่อัลลิเกเตอร์ขาวมีจำนวนน้อยมากในธรรมชาติ เพราะว่ามันไม่สามารถพรางตัวได้ดีเหมือนกับอัลลิเกเตอร์ทั่วไปที่มีผิวเข้มกลมกลืนกับสิ่งแวดล้อม จึงทำให้พวกมันตกเป็นเหยื่อของนักล่าตัวอื่น ๆ ได้ง่าย และที่สำคัญด้วยความบกพร่องของการสร้างเม็ดสีเมลานินทำให้อ่อนไหวต่อแสงแดด ไม่สามารถสู้แสงได้ จึงอยู่รอดยากกว่าอัลลิเกเตอร์ปกติทั่วไป

rare animal2

ข้อมูลทั่วไป และการดำลรงชีวิตของอัลลิเกเตอร์ขาวสัตว์มหัศจรรย์ของโลก

อัลลิเกเตอร์ขาว หรือที่มักเรียกกันว่าอัลลิเกเตอร์เผือก แต่ถ้าเรียกบ้าน ๆ ก็จะเรียกกันว่า “จระเข้ตีนเป็ด” เป็นสัตว์ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ประมาณเมื่อ 200 ล้านปีที่แล้ว สามารถแบ่งชนิดย่อย ๆ เป็น 2 ชนิด ได้แก่ อัลลิเกเตอร์อเมริกัน และอัลลิเกเตอร์จีน โดยสายพันธุ์ทางอเมริกันจะมีขนาดตัวที่ใหญ่กว่าจีน ซึ่งจัดเป็นสัตว์จำพวกจระเข้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดสามารถพบได้ในทวีปอเมริกาเหนือ

ลักษณะโครงสร้างร่างกาย

อัลลิเกเตอร์ขาวลักษณะร่างกายคล้ายกับอัลลิเกเตอร์ทั่วไป เป็นสัตว์เลื้อยคลาน ที่มีรูปร่างแตกต่างจากจระเข้ โดยมีจงอยปากสั้นเป็นรูปตัวยู รูจมูกมีขนาดใหญ่ หัวใหญ่กว้าง ขากรรไกรยาว และเมื่อหุบปกาแล้วจะไม่สามารถมองเห็นฟันล่างของพวกมันได้ และสายพันธุ์เผือกนี้ความโดดเด่นอยู่ที่สีผิวที่ขาวไปทั้งร่างกาย และตาสีฟ้า หรือชมพู 

ถิ่นที่อยู่อาศัย

สัตว์ชนิดนี้สามารถพบได้ที่ทวีปอเมริกาเหรือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐอเมริกา และบริเวณราบลุ่มแม่น้ำแยงซีในประเทศจีนเท่านั้น จัดเป็นสัตว์หายากมาก ยิ่งสายพันธุ์เผือกนี้ไม่ได้จะพบเจอกันง่าย ๆ 

rare animal1

อาหารการกิน

เป็นสัตว์กินเนื้อ สามารถกินเหยื่อได้หลากหลาย จัดเป็นสัตว์ที่อยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร แต่สายพันธุ์เผือกจะล่าเหยื่อสู้สายพันธุ์ทั่วไปไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดของเรื่องสีผิวที่พรางตัวได้ยาก และไม่สามารถทนแสงแดดได้ดี เพราะขาดเม็ดสีเมลานิน และมักตกเป็นเหยื่อของนักล่าตัวอื่นที่แข็งแกร่งกว่า

การค้นพบอัลลิเกเตอร์ขาวล่าสุด

ในปี 2017 มีนักอนุรักษ์ที่ได้พบเจอกับจระเข้เผิอกนี้ปรากฏตัวโดยบังเอิญที่แม่น้ำแอดิเลด ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้ตั้งชื่อให้ว่า “เพิร์ล” ตามสีผิวของมันที่ขาวไปทั้งตัว นับว่าเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นมากที่สามารถพบเห็นได้ตามธรรมชาติ

rare animal

อัลลิเกเตอร์ขาวสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์พันธุ์ จุดสิ้นสุดของสัตว์หาดูยาก

เป็นที่น่าเสียดายว่าอัลลิเกเตอร์ขาว ที่เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์อยู่คู่กับโลกใบนี้มายาวนานกว่า 200 ล้านปี ใกล้จะสูญพันธุ์เต็มที ซึ่งในปัจจุบันการพบเจอตามธรรมชาติแทบจะเป็นไปได้ยาก สัตว์นักล่าชนิดนี้มีข้อบกพร่องหลายประกายด้วยความที่ร่างกายเป็นสีขาวทั้งหมดทำให้พรางตัวได้ยาก และอยู่รอดยากตามธรรมชาติ อัลลิเกเตอร์ขาวสาเหตุหลักเกิดมาจากการกลายพันธุ์ทางด้านพันธุกรรม

โดยในช่วงเวลาของการฟักไข่ หากอยู่บริเวณที่ร้อนมากเกินไปจะส่งผลให้เกิดอัตรากลายพันธุ์สูง รวมทั้งเม็ดสีผิวที่ผิดปกติ ไม่สามารถสร้างเม็ดสีเมลานินได้ ทำให้เกิดผิวเผือก แตกต่างจากสายพันธุ์ทั่วไป อัลลิเกเตอร์ขาวมีรูปลักษณ์ไม่ได้เหมือนกับจระเข้ มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดคือที่ปากอัลลิเกเตอร์จะเป็นรูปทรงตัว U ค่อนข้างมีความโค้งมน แต่หากเป็นจระเข้จะมีรูปทรงปากที่ยาวแหลมมากว่า ออกเป็นทรงตัว V จึงทำให้อัลลิเกเตอร์มีแรงกัดที่มากกว่านั่นเอง เชื่อไหมว่าสามารถกินเต่าที่มีกระดองแข็งได้ด้วย แรงกัดจะเยอะขนาดไหนลองจินตนาการดู และถ้าเป็นคนล่ะ คงเหมือนเคี้ยวเจลลี่นุ่ม ๆ อยู่แน่เลย animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://hilo-88.net/

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

ฮิปโปโปเตมัส ภายนอกดูน่ารักแต่สามารถสังหารจระเข้ได้ 

จระเข้อาจเป็นสัตว์ที่ดูน่ากลัวและดูจะเป็นภัยอันตรายกับมนุษย์กว่าฮิปโปโปเตมัสที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ แต่ทราบหรือไม่ว่าความเป็นจริงแล้วฮิปโปเองก็เป็นสัตว์ป่าที่มีความดุร้ายไม่แพ้กัน ถึงแม้ว่าภายนอกพวกเขาจะมีหน้าตาน่ารักและลำตัวที่ตุ้ยนุ้ยจนน่ากอด แต่พวกเขาสามารถสังหารจระเข้ได้เลยทีเดียวด้วยคมเขี้ยวที่มีขนาดใหญ่เท่าแขนของเด็ก ยังคงมีอีกหลายเรื่องที่คุณอ่านไม่เคยรู้เกี่ยวกับพวกเขามาก่อนและเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นกัน 

big animal

ทำความรู้จักกับฮิปโปโปเตมัส สัตว์ที่คุณไม่ควรเข้าใกล้โดยไม่ระวังตัว

ฮิปโปโปเตมัสเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่หน้าตาน่ารักแถมยังดูเป็นมิตรอีกด้วย ดังนั้นเวลาไปสวนสัตว์ผู้คนจึงมักจะไปเยี่ยมชมพวกเขาอยู่เสมอและพวกเขาก็ยังเป็นสัตว์โปรดของเด็กหลายๆ คนอีกต่างหาก แต่ความเป็นจริงแล้วพวกเขาเป็นสัตว์ดุร้ายที่อันตรายไม่น้อยเลยทีเดียวและไม่ควรเข้าใกล้โดยไม่ระวังตัวโดยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณเจอพวกเขาตามสถานที่ธรรมชาติหากห่างได้ก็ขอแนะนำว่าให้ห่างเอาไว้จะดีที่สุด พวกเขาเป็นสัตว์กินพืชและยังเป็นเพียงหนึ่งในสองชนิดของวงที่ยังคงสามารถอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้กับอีกสายพันธุ์หนึ่งก็คือสายพันธุ์แคระที่มักจะพบในบริเวณป่าดิบชื้นของทวีปแอฟริกาตะวันตกนั่นเอง ชื่อของพวกเขาเป็นภาษากรีกที่มีความหมายถึงม้าและแม่น้ำ พวกเขามีรูปร่างใหญ่โตและอ้วนกลมจนคล้ายกับหมู มีผิวมันเลื่อมสีเทาอมชมพู หัวและปากมีความกว้างใหญ่เป็นอย่างมาก 

big animal1

บทสรุป

ภายในปากจะมีเขี้ยวที่สามารถมีความยาวได้สูงสุดกว่า 1.6 ฟุตหรือยาวกว่าแขนเด็กบางคนเสียอีก มันเป็นอาวุธที่ช่วยป้องกันสัตว์ใหญ่สายพันธุ์นี้ให้รอดพ้นจากบรรดานักล่าทั้งหลาย ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นสัตว์ที่เราต้องระมัดระวังให้ดีไม่ว่าจะไปเยี่ยมชมพวกเขาในสวนสัตว์หรือพบเจอตามธรรมชาติก็ตาม ยิ่งเป็นตัวผู้จะยิ่งมีนิสัยที่ดุร้ายก้าวร้าวมากกว่าตัวเมียอีก พวกเขาเป็นสัตว์บกแต่สามารถอยู่ในน้ำได้แถมยังสามารถเคลื่อนที่ในน้ำได้ด้วยความเร็วกว่า 8 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอีกด้วย และด้วยขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่ทำให้พวกเขาต้องกินอาหารถึงวันละ 40 กิโลกรัมเลยทีเดียว และหนึ่งในพฤติกรรมที่โดดเด่นที่สุดของพวกเขาก็คือเวลาขับถ่ายมักจะใช้หางสะบัดของเสียให้กระเด็นไปโดยรอบเพื่อเป็นการบอกอาณาเขต ฟังดูสกปรกแต่ก็เป็นพฤติกรรมธรรมชาติที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว  animal2you.com

 

บทความเพิ่มเติม

Categories
สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

เต่าอัลลิเกเตอร์ สัตว์เลี้ยงที่ถอดแบบมาจากสิ่งมีชีวิตยุคโบราณ 

สัตว์ทุกตัวบนโลกใบนี้ล้วนแล้วแต่ได้รับการวิวัฒนาการไปตามยุคสมัยในช่วงเวลาที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไป แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงมีหลายสายพันธุ์รวมไปถึงเต่าอัลลิเกเตอร์ที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ที่ไม่ได้มีวิวัฒนาการมากมายสักเท่าไหร่ ทำให้ลักษณะภายนอกของพวกมันดูมีความใกล้เคียงกับสัตว์โบราณในอดีตที่เราไม่สามารถพบเจอได้อีกแล้วในปัจจุบันเนื่องจากพวกมันสูญพันธุ์ไปจนหมดสิ้น สัตว์สายพันธุ์ดังกล่าวได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงเวลานี้ในฐานะของสัตว์เลี้ยง สำหรับใครที่สนใจเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นกัน 

ทำความรู้จักกับเต่าอัลลิเกเตอร์ สิ่งมีชีวิตที่สวยงามแปลกตาไม่เหมือนใคร 

เต่าอัลลิเกเตอร์หากมองจากรูปร่างภายนอกดูเหมือนว่าพวกมันจะไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่เนื่องจากพวกมันเป็นสัตว์นักล่า ธรรมชาติจึงออกแบบพวกมันมาค่อนข้างน่ากลัวไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นรูปทรงหัวที่เป็นทรงสามเหลี่ยมแตกต่างจากเต่าสายพันธุ์อื่นที่มักจะมีความกลมมน กระดองหลังที่มีความแหลมคมยื่นออกมาแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นที่มักจะเป็นทรงกลมหรือไม่ก็อาจจะมีเหลี่ยมเล็กน้อยแต่ก็จะไม่ยื่นขึ้นมาเป็นแง่งอย่างแน่นอน และที่สำคัญสำหรับใครที่อยากจะเลี้ยงสัตว์ EXOTIC  สายพันธุ์นี้เราขอแนะนำให้ระวังให้ดีเพราะแรงกัดของพวกมันสูงถึง 1,000 ปอนด์เลยทีเดียว เป็นแรงกัดที่มากเป็นอันดับ 3 ของโลกรองจากไฮยีน่าและจระเข้น้ำเค็มเท่านั้น

ดังนั้นหากคุณเลี้ยงพวกเขาก็ต้องเอาใจใส่ให้ดีและเลี้ยงให้พวกเขาเชื่อง

ไม่เช่นนั้นหากพวกเขาดุร้ายและเราโดนกลั่นขึ้นมาก็อาจจะทำให้นิ้วขาดได้เลยทีเดียว สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์กินเนื้อประกอบไปด้วยพวกสัตว์น้ำและปลา พวกเขามักจะใช้วิธีการซ่อนตัวอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว จากนั้นก็จะอ้าปากค้างไว้โดยใช้ปลายนิ้วที่แตกออกเป็น 2 แฉกเป็นเหยื่อล่อปลาให้เข้าใจผิดว่าเป็นหนอน เมื่อมีเหยื่อเข้ามาใกล้พวกมันก็จะงับอย่างรวดเร็วและรุนแรง นับเป็นเต่าแปลกที่นอกจากจะมีรูปร่างภายนอกแตกต่างจากคนอื่นแล้ววิธีการล่าของพวกเขาก็ยังน่าสนใจอีกต่างหาก ดังนั้นหากคุณไปบ้านเพื่อนแล้วเจอพวกเขาเข้าขอแนะนำให้พยายามอย่าไปยั่วยวนพวกเขามากนัก เพราะแรงกัดของพวกเขามากกว่าสุนัขสายพันธุ์พิทบูลอีกต่างหาก แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะต้องกลัวหรือเป็นกังวลแต่อย่างใดเพราะโดยปกติแล้วพวกเขาไม่ค่อยทำร้ายมนุษย์สักเท่าไหร่แถมยังค่อนข้างเชื่องช้าอีกด้วย และจะกลับได้ก็ต่อเมื่อเหยื่ออยู่ข้างหน้าเท่านั้น หากเราระมัดระวังตัวให้ดีก็จะไม่ตกไปเป็นเหยื่อการงับของพวกเขาอย่างแน่นอน มาอ่านสาระน่ารู้ได้ต่อที่เว็บ animal2you.com

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

เต่าญี่ปุ่น เต่าที่มีแก้มสีแดงทำให้หลายคนหลงรักเมื่อพบเจอ

เต่าชนิดนี้เป็นสัตว์ที่ขึ้นชื่อว่าเดินช้าที่สุด นับเป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลกหลายสิบปีมาแล้ว ซึ่งที่จริงแล้ว เต่าญี่ปุ่น เป็นเต่าแถบประเทศอเมริกา เหตุที่ชื่อ เต่าญี่ปุ่นเพราะในประเทศไทย มีพ่อค้าชาวญี่ปุ่นคนแรกที่นำเต่าชนิดนี้ออกมาจัดจำหน่ายในประเทศ จึงเรียกกันติดปากว่าเต่าญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบันประเทศไทยเราสามารถมีฟาร์มเพาะพันธุ์เต่าชนิดนี้อย่างแพร่หลาย และยังมีสีใหม่ๆออกมาให้เห็น เช่น เต่าญี่ปุ่นสีเผือกกระดองเหลือง ตัวสีขาว หรือจะเป็นสีพาสเทลที่หายาก และมีความสวยละลานตาอีกมาก จากผลสำรวจพบว่าทำให้ผู้คนในประเทศแห่กันนำมาเป็นสัตว์เลี้ยงเป็นจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเต่าญี่ปุ่นจัดเป็นชนิดย่อยของเต่าแก้มแดง มีถิ่นกำเนิดอยู่พื้นที่ชุ่มน้ำ 

เต่าญี่ปุ่น สัตว์ที่ผู้คนมากมายยกให้เป็นสัตว์นำโชค

เต่าญี่ปุ่น
  • เป็นเต่าที่เลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลินใจ จัดเป็นเต่าที่เลี้ยงง่ายเนื่องจากเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีความน่ารัก ในการเลี้ยงจึงจำเป็นต้องมีพื้นที่แห้ง เผื่อว่ามันจะขึ้นมาผึ่งตัวบนบก ถ้าขนาดยังเล็กก็จำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำทุกอาทิตย์ แต่ถ้ายิ่งเต่าตัวใหญ่มากเท่าไรก็ต้องเปลียนปล่อยมาเท่านั้น เพื่อจะไม่ให้สิ่งปฏิกูลของเสียได้หมักหมมค้างอยู่ในน้ำ ไม่อย่างนั้นแล้วเต่าอาจไม่กินอาหาร และมีอาการป่วยตามมา เนื่องจากเต่าญี่ปุ่นเป็นสัตว์เลือดเย็น จึงจำเป็นต้องมีพื้นที่ ที่แสงแดดเข้าถึง เพื่อให้เค้าได้ออกไปผึ่งแดดเผื่อรับวิตามิน และกระตุ้นระบบการทำงานในร่างกาย
เต่าญี่ปุ่น

เต่าญี่ปุ่นเป็นสัตว์กินไม่เลือก กินทั้งพืช และสัตว์ ซึ่งปัจจุบันได้มีการนำอาหารเต่าชนิดเม็ด นำเข้ามาจำหน่ายมากมาย เพื่อสะดวกสบายในการเลี้ยงมากขึ้น แต่ข้อเสียคือมีราคาที่แพง ซึ่งถ้าเต่าขนาดเล็กก็ยังกินไม่เยอะ แต่ถ้าเต่ามีขนาดโตขึ้น ก็อาจจะกินสลับกับผักบุ้งซึ่งเป็นอาหารหลัก และอาหารเม็ดเป็นอาหารเสริมก็ได้ 

เต่าญี่ปุ่น

ลักษณะของเต่าแรกเกิดจะมีกระดองเป็นสีเขียว เมื่อโตขึ้นสีจะเข้มออกคล้ำ เท้าทั้ง 4ข้าง มีผังผืด ที่ใช้ในการว่ายน้ำ เมื่อมีอายุถึง 2 ปี ก็เข้าสู่วัยผสมพันธุ์ และมักมีการผสมพันธุ์กันในน้ำ ระหว่างเดือนมีนาคม – มิถุนายน จากนั้นตัวเมียก็จะขึ้นมาวางไข่บนบก ใช้เวลาในการฟักเป็นตัวราว 60-75วัน สามารถมีชีวิตอายุยืนยาวที่สุด มีอายุขัยประมาณ 50-60ปี จึงทำให้จากเต่าน่ารักแรกเกิดที่นำมาเลี้ยง เมื่อเติบใหญ่จะมีขนาดตัวถึง 1ฟุต และไม่น่ารักเหมือนเดิม เลยกลายเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมเช่นกัน เนื่องจากเจ้าของอาจนำไปปล่อยในแหล่งน้ำเพื่อกลับคืนสู่ธรรมชาติ ซึ่งเต่าญี่ปุ่นจะสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างดี ทำให้มีการแพร่ขยายพันธุ์ และแย่งอาหารกับเต่าเจ้าถิ่น ที่อยู่ในพื้นเมืองของไทยอีกด้วย

อ่านบทความอื่นๆ:

สนับสนุนโดย:

https://gclubspecial168.com เว็บไซต์พนันออนไลน์ที่เปิดให้บริการตลอดทั้งวัน

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

มาทำความรู้จักกับ “สิงโตทะเล” กันเถอะ

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

       เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงจะเคยมีโอกาสได้ไปเที่ยวชมสวนสัตว์กันมาบ้างแล้ว ซึ่งสวนสัตว์แต่ละแห่งก็จะมีสัตว์มากหน้าหลายตามาก ๆ และหนึ่งในนั้นก็คือ “สิงโตทะเล” ที่แค่ได้ยินชื่อก็คงจะเริ่มคิดถึงแมวน้ำกันขึ้นมา แต่ความเป็นจริงแล้วสัตว์ทั้งสองชนิดนี้นั้นก็มีความแตกต่างกันอยู่ ไม่ใช่สัตว์ชนิดเดียวกัน ดังนั้นก็ไม่ควรจำสลับกันนะคะ วันนี้บทความของเราก็มีเรื่องน่ารู้ดี ๆ ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้มาฝากกันค่ะ 

สิงโตทะเล มีลักษณะอย่างไร

       สิงโตทะเล คือ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง ที่มีแหล่งอาศัยอยู่ในแถบขั้วโลกเหนือ เนื่องจากเป็นสัตว์ที่อยู่ในสถานที่ที่มีอากาศหนาว โดยสิงโตทะเลลักษณะของพวกมันจะมีความคล้ายคลึงกันกับแมวน้ำ แต่สิงโตทะเลจะมีลักษณะของใบหูที่เล็ก และมีครีบเป็นอวัยวะแทนส่วนขาที่สามารถเคลื่อนย้ายไปมาได้ นิสัยสิงโตทะเลจะมีความน่ารักและเป็นมิตร อย่างที่เราสามารถหาชมได้ตามสวนสัตว์ต่าง ๆ เนื่องจากการโชว์สิงโตทะเลนั้นเป็นที่ได้รับความนิยมมากจึงทำให้ใครหาย ๆ คนชื่นชอบกับการแสดงและเผลอยิ้มไปตาม ๆ กัน 

       สิงโตทะเล อาหารของพวกมันส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่สามารถหาได้จากแหล่งน้ำบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่ นั่นก็คือปลาและปลาหมึกนั่นเอง โดยปกติแล้วพวกมันจะมีอายุขัยอยู่ที่ประมาณ 20-30 ปีเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับพะยูนอีกด้วย

สิงโตทะเล กับ แมวน้ำ ต่างกันอย่างไร

       ถือว่าคำถามนี้เป็นคำถามยอดฮิตสำหรับคนที่สับสนระหว่างสิงโตทะเลกับแมวน้ำเลยก็ว่าได้ เนื่องจากสัตว์ทั้งสองชนิดนี้มีลักษณะที่คล้ายคลึงกันอย่างมาก แต่ก็สามารถจำแนกได้ง่าย ๆ เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะบริเวณครีบที่สิงโตทะเลจะมีครีบใหญ่กว่าและสามารถเคลื่อนที่ได้ด้วยครีบเหล่านั้น แต่แมวน้ำไม่สามารถทำได้ อีกทั้งขนาดสิงโตทะเลจะอยู่ที่ 2-3 เมตร โดยสายพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดก็คือสายพันธุ์สเตลลาร์ และด้วยความน่ารักของพวกมันนี้ทำให้มันถูกเรียกด้วยฉายาหนึ่งว่า “หมีทะเล” ซึ่งก็ถือว่าเหมาะสมกับพวกมันอย่างแท้จริง

บทสรุป 

       สิงโตทะเล เป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกับพะยูน จะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีความหนาวเย็นจัด โดยเฉพาะบริเวณขั้วโลกเหนือ เนื่องจากมีสภาพอากาศและอาหารที่พอเพียงต่อการดำรงชีวิต แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันนั้นสามารถหาชมสิงโตทะเลได้ง่ายขึ้นจากสวนสัตว์นี้เอง

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

วอลรัส สัตว์ใหญ่แห่งขั้วโลกเหนือ 

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

        เมื่อพูดถึงสิงโตทะเลและแมวน้ำแล้ว สัตว์แห่งขั้วโลกเหนืออีกหนึ่งชนิดที่เราจะลืมเขาไปไม่ได้เนื่องจากความใหญ่โตและเขี้ยวอันน่ากลัวนั้นก็คือ “วอลรัส” ที่เรียกได้ว่าเป็นสัตว์ใหญ่แห่งขั้วโลกเหนือเลยทีเดียว วันนี้บทความของเราก็มีความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับเจ้าสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดนี้ที่ใครหลาย ๆ คนอาจยังไม่รู้จักมาฝากกันค่ะ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง มาดูไปพร้อม ๆ กันเลยค่ะ

ลักษณะโดยทั่วไปของวอลรัสที่คุณควรรู้

        วอลรัส คือ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่บริเวณอาร์กติก ซึ่งเป็นบริเวณที่มีอากาศหนาวเย็น ซึ่งวอลรัสเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเช่นเดียวกันกับพะยูนและสิงโตทะเล อีกทั้งยังมีลักษณะที่คล้ายคลึงกับสิงโตทะเลอีกด้วย แต่ก็แยกอออกได้ไม่ยาก เนื่องจากวอลรัสลักษณะของมันจะเป็นสัตว์ที่มีขนาดใหญ่ ลำตัวยาวสีน้ำตาล มีหนวดคล้ายสิงโตทะเล บริเวณผิวหนังจะมีความขรุขระ มีครีบที่ใช้ในการเคลื่อนที่ และมีเขี้ยวยาวที่ยื่นออกมานอกปาก ซึ่งสาเหตุที่มีเขี้ยวยาวนั้นก็เพื่อเรียกร้องความสนใจต่อเพศตรงข้าม อีกทั้งยังใช้เขี้ยวในการหาอาหารอีกด้วย

        อาหารวอลรัสก็จะเป็นอาหารที่อยู่ในบริเวณนั้น ซึ่งได้แก่ หอย กุ้ง รวมถึงผักอย่างแตงกวา นิสัยวอลรัสจะมีความคล้ายคลึงกับสิงโตทะเลอยู่มาก ซึ่งนั่นก็คือความน่ารักที่แผ่ออกมาจนลืมไปเลยว่าเขาเป็นสัตว์ใหญ่ที่มีเขี้ยวยาวยื่นออกมาดูน่ากลัว แต่กลับแสดงอาการน่ารักและเป็นมิตรออกมาในเวลาเดียวกันได้อย่างลงตัวนั่นเอง 

วอลรัสตัวแรกของเอเชียอยู่ที่ประเทศไทย

        วอลรัสตัวแรกของเอเชียนั้นถูกนำมาจัดแสดงครั้งแรกที่ประเทศไทย คู่กับสิงโตทะเล จึงได้เป็นโชว์วอลรัสกับสิงโตทะเลออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งถูกจัดขึ้นที่สวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์นี้เอง โดยขนาดวอลรัสนั้นจะมีขนาดของลำตัวที่ใหญ่มาก ๆ จนได้ฉายาว่า “ช้างทะเล” ซึ่งขนาดตัวโดยเฉลี่ยของมันจะอยู่ที่ประมาณ 2,000 กิโลกรัม ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำที่มีขนาดใหญ่ใช้ได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ตามหากไม่พูดถึงรูปพรรณของสัตว์ชนิดนี้แล้วก็ถือว่าไม่ได้ดุร้ายอีกทั้งยังเป็นมิตรและสร้างรอยยิ้มให้แก่นักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดีเลยค่ะ

บทสรุป 

        วอลรัส เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดใหญ่ จัดอยู่ในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สามารถพบเห็นได้มากในบริเวณอาร์กติกที่มีอากาศหนาวเย็น ซึ่งในประเทศไทยของเราก็มีสัตว์ชนิดนี้ให้ได้ชมเช่นกัน หากใครเริ่มหลงรักสัตว์ตัวนี้แล้วก็รีบบึ่งไปที่สวนสัตว์เพื่อชมความน่ารักของมันกันได้เลยค่ะ

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

เต่าหัวค้อน เต่าทะเลหัวโต ต้วมเตี้ยม สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้ว

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

     เต่าหัวค้อน ( Loggerhead Turtle ) หรือ เต่าล็อกเกอร์เฮด , เต่าจะละเม็ด , เต่าตาแดง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Caretta caretta ( Linneaus , 1758 ) ถูกจัดอยู่ในวงศ์ CHELONIOIDEA ซึ่งเต่าทะเลชนิดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Caretta 

     พบมากในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกและพบได้ประปรายในมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนในเอเชียอาจมีพบบ้างในเขตอบอุ่นทางประเทศอินโดนีเซียและญี่ปุ่น ในประเทศไทยไม่พบการขึ้นมาวางไข่เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้พบมีเต่าหัวค้อนติดอวนของชาวประมงในจังหวัดสตูล ได้นำกลับมารักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีและปล่อยกลับลงทะเลในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันขึ้นสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

ลักษณะทั่วไปของเต่าหัวค้อน 

     เต่าหัวค้อนมีลักษณะทางกายภาพทั่วไปคล้ายคลึงกับเต่าหญ้าและเต่าตนุ โดยจะมีเกล็ดบนหัวบริเวณด้านหน้าจะมี 2 คู่ ( เหมือนเต่าหญ้า ) มีเกล็ดบนกระดองหลังบริเวณริมกระดองด้านข้างนับได้ 5 เกล็ด หรือเรียกว่า 5 แผ่น ซึ่งลักษณะของเต่าส่วนนี้จะแตกต่างจากเต่าทะเลชนิดอื่น ๆ

     กระดองมีรูปทรงโค้งมนและจะเรียวแหลมบริเวณส่วนท้ายกระดอง มีสันแเข็งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน กระดองจะมีน้ำตาลอมแดงหรืออมส้ม มีจุดเด่น คือ มีหัวขนาดใหญ่ ส่วนเท้าจะมีเล็บยาวยื่นออกมาข้างละ 1 เล็บ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีกระดองยาวเฉลี่ยประมาณ 85 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 120 กิโลกรัม 

วิถีการดำรงชีวิตของเต่าหัวค้อน

     เต่าหัวค้อนมักจะอาศัยตามชายฝั่งน้ำตื้นที่มีอุณหภูมิมากกว่า 20 องศาเซลเซียส อาหารของเต่าทะเลชนิดนี้จะเป็นจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก และสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ โดยมันจะใช้จะงอยปากอันแหลมคมและขากรรไกรที่แข็งแรงเป็นเครื่องมือในการล่าเหยื่อและใช้บดเคี้ยวอาหารที่มีเปลือกหรือกระดองแข็ง 

     ปัจจุบันเต่าหัวค้อนมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมาจากปริมาณขยะในท้องทะเลที่เพิ่มมากขึ้น สภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ภาวะโลกร้อน และการถูกรบกวนจากมนุษย์ ฯลฯ

     อีกทั้งเพศของลูกเต่าจะถูกกำหนดได้โดยอุณหภูมิใต้ผืนทรายบริเวณที่แม่เต่าไปวางไข่ ( ไม่ได้กำหนดด้วยโครโมโซม ) หากอุณหภูมิอยู่ในระดับที่เหมาะสมลูกเต่าก็จะมีสัดส่วนเพศผู้และเพศเมียที่สมดุลกัน โดยถ้ามีอุณหภูมิสูงจะได้ลูกเต่าเพศเมียและถ้าอุณหภูมิเย็นก็จะได้ลูกเต่าเพศผู้ ดังนั้นเมื่อโลกมีสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปก็ย่อมจะส่งผลให้อัตราส่วนของเต่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ง่ายขึ้น

 

 

แทงบอล

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

กบศรพิษเหลืองดำ กบตัวจิ๋วพิษร้ายที่ฆ่าคนได้ถึง 10 คน

สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

       กบศรพิษเหลืองดำ ( Golfodulcean poison frog ) เป็นกบมีพิษที่จัดอยู่ในวงศ์ DENDROBATIDAE มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Phyllobates vittatus มีลักษณะเป็นกบพิษสีเหลืองมีสีสันสดใสมีโทนสีดำ-เหลืองตัดกัน แม้จะมีสีสันสวยงามแต่ความจริงแล้วกลับมีพิษที่ร้ายแรงมาก พบว่าพิษของกบศรพิษเหลืองดำเพียง 1 ตัว ( พิษ 5 ไมโครกรัม ) สามารถฆ่าคนได้ถึง 10 คนและค่าหนูได้มากถึง 20,000 ตัวเลยทีเดียว กบพิษสีเหลืองสายพันธุ์นี้พบมากในบริเวณป่าเขตฝนของทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ อาทิเช่น ประเทศชิลี บราซิล และกายอานา พิษของมันมักถูกนำมาใช้เป็นยาพิษอาบลูกดอกของพวกอินเดียนแดง

ลักษณะของกบศรพิษเหลืองดำ

       กบศรพิษเหลืองดำเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีขนาดลำตัวยาวประมาณ 1-5 เซนติเมตร โดยกบในตระกูลนี้มักจะมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ซึ่งแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีสีสันและลวดลายแตกต่างกันออกไป เช่น สีเหลือง สีดำ สีแดง สีส้ม สีฟ้า สีชมพู สีเขียว ชอบอาศัยอยู่ตามพื้นดิน กาบต้นไม้ ป่าสับปะรด ใต้ใบไม้ ฯลฯ ชอบออกหากินในตอนกลางวันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งหากนับจำนวนกบในทวีปอเมริกากลางและอเมริกาใต้ก็จะมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 220 สายพันธุ์ และในจำนวน 220 สายพันธุ์นั้นมี100กว่าสายพันธุ์ที่เป็นสายพันธุ์ของกบลูกดอกพิษ ซึ่งกบศรพิษเหลืองดำก็จัดเป็นกบมีพิษจำพวกนั้นด้วย

       แม้ว่ากบศรพิษเหลืองดำ จะมีขนาดเล็กน่ารักและมีสีสัน-ลวดลายที่สวยงามมากเพียงใดก็ตาม เมื่อมารู้ถึงอานุภาพของพิษที่กบพิษสีเหลืองชนิดนี้มีอยู่แล้วก็แทบจะหดมือกลับไม่ทันกันเลยทีเดียว โดยกบศรพิษเหลืองดำจะมีต่อมผลิตพิษที่ร้ายแรงมากเป็นสารเคมีประเภทอัคคาลอยด์ที่จะไปออกฤทธิ์ระหว่างจุดประสานเซลล์ประสาทและระหว่างประสาทกับกล้ามเนื้อ โดยจะเป็นประเภทที่ไปละลายในสารละลายอินทรีย์สามารถทำให้มนุษย์หรือสัตว์ขนาดใหญ่ตายได้เพียงแค่ไปสัมผัสโดนพิษเท่านั้นเอง ได้มีการจัดอันดับสัตว์ที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลกก็ปรากฏว่ากบมีพิษในตระกูลนี้ติดอยู่ในอันดับด้วยเพราะด้วยพิษเพียง 5 ไมโครกรัม ก็สามารถฆ่ามนุษย์ได้ถึง 10 คนและหนูได้มากถึง 20,000 ตัว แต่สีสันของกบก็ไม่อาจใช้เป็นตัวตัดสินความมีพิษได้เสมอไปกบบางสกุลอาจไม่ได้มีสีสันสดใสแต่ก็มีพิษร้ายแรงได้เช่นเดียวกัน

การผสมพันธุ์ของกบศรพิษเหลืองดำ

       กบพิษสีเหลืองชนิดนี้มักจะมีพฤติกรรมการผสมพันธุ์โดยตัวผู้จะไม่กอดรัดตัวเมีย แต่ถ้าจะมีการกอดรัดก็จะเป็นการกอดรัดบริเวณหัวเป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีการผสมพันธุ์กันเรียบร้อยแล้วกบตัวเมียดก็จะไปวางไข่บนพื้นหญ้าหรือบนต้นไม้แล้วคอยเฝ้าดูแลไข่อยู่ใกล้ๆ เมื่อไข่ฟักตัวเป็นลูกอ๊อดในช่วงแรกลูกอ๊อดจะอาศัยอยู่เกาะบนหลังของพ่อกบหรือแม่กบก่อนระยะหนึ่ง จากนั้นเมื่อเจริญเติบโตแข็งแรงดีแล้วก็จะลงน้ำและออกหากินตามธรรมชาติต่อไป ปัจจุบันนี้พบว่ากบศรพิษเหลืองดำอยู่ในสถานะใกล้สูญพันธุ์แล้ว