Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลื้อยคลาน แนะนำ

เต่ายักษ์พินตา หรือเต่ากาลาปากอส สิ่งมีชีวิตที่คงเหลือเพียงแค่ชื่อ

เต่ายักษ์พินตา (Pinta Island Tortoise) เป็นเต่าสายพันธุ์หนึ่งที่อยู่ในเกาะพินตาแห่งหมู่กาลาปากอส ที่ได้ชื่อว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งมีนักสำรวจที่ชื่อว่า Rollo Beck ได้ค้นพบเต่าชนิดนี้เป็นครั้งแรก และครั้งสุดท้ายในปี ค.ศ. 1906 และไม่สามารถพบเห็นได้ที่ไหนอีกเลย จนกระทั่งต่อมามีผู้ค้นพบเต่ายักษ์พินตาหรือเต่ากาลาปากอส ที่เหลือเพียงตัวเดียวเท่านั้น โดยตั้งชื่อว่า Lonesome George มีฉายาว่า “จอร์จผู้โดดเดี่ยว” ซึ่งมีอายุร่วม 100 ปี ปัจจุบันจอร์จได้เสียชีวิตไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทำให้เต่ายักษ์พินตาจัดเป็นสัตว์ที่สูญพันธุ์อย่างสมบูรณ์ ซึ่งเต่าชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกาะพินตา หมู่กาลาปากอส แต่น่าเสียดายที่จะไม่ได้เห็นเต่าชนิดนี้ตัวเป็น ๆ เสียแล้ว

reptile

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับเต่ายักษ์พินตา พี่ใหญ่ที่กินแต่พืชแต่ตัวโตมาก

เต่ายักษ์พินตา อย่างที่รู้กันว่าได้สูญพันธุ์ไปแล้ว ซึ่งตัวสุดท้าย “จอร์จ” ตายไปเมื่อปี 2012 ทำให้ไม่มีสัตว์ชนิดนี้หลงเหลืออยู่ เต่าไม่ใช่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำอย่างที่หลายคนเข้าใจ จริง ๆ แล้วเป็นสัตว์เลื้อยคลานมีขนาดตัวหลายไซส์ กินพืชเป็นอาหารหลัก มีกระดองห่อหุ้ม และมีผิวหนังที่หนามาก 

ลักษณะสำคัญ

เต่ายักษ์พินตาเป็นเต่าที่มีขนาดมหึมา ความยาวรวมตั้งแต่หัวถึงหางประมาณ 90 เซนติเมตร และมีน้ำหนักที่หนักมากถึง 200 กิโลกรัม มีหัวขนาดใหญ่และแข็งแรงมาก สามารถยืดของออกจากกระดองได้ยาวเลยทีเดียว มีขาสี่ข้างที่แข็งแรง ลำตัวโค้ง สามารถสังเกตและแยกจากเต่าสายพันธุ์อื่นได้ง่าย

อายุขัย

เต่าสายพันธ์นี้มีอายุที่ยาวนานมากเมื่อเทียบกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อาจมีอายุตั้งแต่หลายสิบปีถึงหลายสิบสองร้อยปี

ถิ่นกำเนิด

ถิ่นกำเนิดและอาศัยอยู่บนเกาะพินตา (Pinta Island) ซึ่งอยู่ในหมู่เกาะกาลาปากอส (Galapagos Islands) ในท้องทะเลแปซิฟิกตอนกลาง หมู่เกาะกาลาปากอสตั้งอยู่ในทวีปเอกเมริกาใต้ที่เป็นส่วนหนึ่งของประเทศเอกวาดอร์ (Ecuador) และเป็นเขตอนุรักษ์ธรรมชาติที่ได้รับการป้องกันอย่างเคร่งครัด

reptile1

อาหารการกิน

เต่าชนิดนี้ถึงแม้จะมีขนาดตัวใหญ่อลังการมาก แต่เป็นสัตว์กินพืช โดยจะเป็นพืชต่าง ๆ ที่ไม่ใช่ไม้ยืนต้น ไม่ว่าจะเป็นไม้พุ่มเล็ก เหง้าพืช หรือหญ้าที่อยู่ตามพื้น ในช่วงเวลาการกินอาหารเต่าจะยืดคอออกจากกระดอง และเล็มใบไม้ใบหญ้ากินอย่างเอร็ดอร่อย

ลักษณะอุปนิสัย

เต่ายักษ์พินตา เป็นสัตว์ที่ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว จะไม่มีข้อมูลการศึกษาแน่ชัดในเรื่องของพฤติกรรม แต่ตัวสุดท้ายเจ้าจอร์จที่ตายไปเมื่อปี 2012 จากการสังเกตพบว่าเป็นสัตว์ที่มีความอ่อนน้อม ชอบอยู่ลำพัง ปรับตัวได้ดีเข้ากับสภาพแวดล้อม สามารถอาศัยได้บริเวณหนาวเย็น และเป็นเต่าบกจึงหาอาหารกินบนพื้นดิน ไม่สามารถหาอาหารในน้ำได้

สาเหตุการสูญพันธุ์

การขาดแคลนอาหารและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ ภาวะฝนตกน้อย และการบุกรุกถิ่นฐานของมนุษย์เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เต่าชนิดนี้สูญพันธุ์

reptile2

เต่ายักษ์พินตา สัตว์โลกน่ารักที่หายไปจากเกาะพินตา แห่งหมู่เกาะกาลาปากอส

เต่ายักษ์พินตา เป็นสายพันธุ์เต่าที่เกิดและอาศัยอยู่บนเกาะพินตาในหมู่เกาะกาลาปากอสในทะเลแปซิฟิก มีลักษณะรูปร่างที่ใหญ่และแข็งแรง โดยมีหัวที่ใหญ่กว่าเต่าสายพันธุ์อื่นๆ และเป็นสัตว์ที่กินพืช อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แห้งและหนาวของหมู่เกาะกาลาปากอส อาหารหลักของเต่ายักษ์พินตาเป็นใบพืชเลื้อยคลานต้นเตี้ยตามพื้นดินเพราะกินง่าย เป็นสัตว์ที่มีอายุขัยยาวนาน แต่น่าเสียดายที่ว่าตอนนี้ขึ้นสถานะเป็นสัตว์สูญพันธุ์ไปเรียบร้อยแล้ว หากใครที่อยากเห็นหน้าตาของเต่ายักษ์พินตา สามารถเดินทางไปดูร่างของปู่จอร์จได้ที่พิพิธภัณฑ์ Charles Darwin Foundation ซึ่งตั้งอยู่ในเกาะ Santa Cruz ในหมู่เกาะกาลาปากอส พิพิธภัณฑ์นี้เป็นสถานที่ที่มีการศึกษาและการอนุรักษ์ธรรมชาติของหมู่เกาะกาลาปากอส และเป็นที่อยู่ของศูนย์การศึกษาและความรู้เกี่ยวกับการอนุรักษ์และสิ่งมีชีวิตในหมู่เกาะนี้ animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Categories
ความรู้ สัตว์บก แนะนำ

แมวป่าหัวแบน ตากลมสุดน่ารัก แต่หาชมได้ยาก จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ที่ต้องเร่งอนุรักษ์

แมวป่าหัวแบน เป็นสัตว์โลกสุดแสนน่ารัก ที่ตากลมโต หัวมน หูตั้ง แต่น่าเสียดายที่กลายเป็นสัตว์ที่หายากมากที่สุดในโลก แมวป่าสายพันธุ์นี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Prionailurus planiceps โดยอยู่ในวงศ์เดียวกับเสือและแมว หรือวงศ์ Felidae การลดจำนวนประชากรตามธรรมชาติของแมวป่านี้สาเหตุหลักเกิดมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการปนเปื้อนของสารเคมี โลหะหนัก ในแหล่งน้ำ ส่งผลให้แมวป่าหัวแบนได้รับสารเคมีสะสมเข้าไปในร่างกายปริมาณมาก

การตัดไม้ทำลายป่า และบุกรุกพื้นที่จากมนุษย์ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้สัตว์ชนิดนี้มีจำนวนลดลง จนเข้าขั้นวิกฤต ใกล้สูญพันธุ์และพบเจอได้ยากมากตามธรรมชาติ ใครที่ได้พบเจอแมวป่าหัวแบนโดยบังเอิญถือว่าเป็นผู้ที่โชคดีสุด ๆ เพราะไม่ได้มาปรากฏตัวให้เห็นง่าย ๆ นั่นเอง

มาทำความรู้จักกับแมวป่าหัวแบน สัตว์โลกแสนน่ารักนี้ให้มากขึ้นกันเลย

อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า แมวป่าหัวแบน เป็นสัตว์ที่ไม่ได้พบเจอได้ง่าย ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่บนโลกนี้จึงไม่รู้ว่าแมวป่าชนิดนี้มีลักษณะอย่างไร อยู่ที่ไหนและกินอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะพาทุก ๆ คนมาทำความรู้จักกับแมวป่าสุดน่ารักนี้กันให้มากขึ้น ถ้ามองเผิน ๆ แล้วดูเหมือนแมวพันธุ์ทั่วไปเลย ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นสัตว์ตระกูลแมวป่าสุดแสนหายาก

ลักษณะทางสัณฐานวิทยา

แมวป่าหัวแบน จะมีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ ซึ่งส่วนหัวจะมีลักษณะยาวและแคบ ส่วนลำตัวยาว แต่มีขาสั้น หางสั้นมีขนปกคลุมอย่างหนาแน่น โดยเจ้าแมวตัวนี้สีขนบริเวณหัวเป็นสีน้ำตาลแดง บริเวณลำตัวเป็นสีน้ำตาลเข้ม ด้านท้องจะมีจุดด่างสีขาว ส่วนหน้าจะมีคางและแก้มสีขนขาว แต้มไปด้วยลายดำทั้งสองข้างของแก้ม ดวงตาขนาดใหญ่กลมโต และหูตั้ง น้ำหนักตัวปนะมาณ 1.5-2.5 กิโลกรัม

ถิ่นที่อยู่อาศัย

แมวป่าหัวแบน อาศัยอยู่ในทวีปเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสามารถพบได้ในประเทศบรูไน ประเทศอินโดนีเซียแถบกาลิมันตัน สุมาตรา ประเทศมาเลเซียแถบเพนนิซูล่า ซาบาห์ราวัก และประเทศไทยเองก็สามารถพบได้ แต่โอกาสเจอน้อยมาก ๆ 

อาหาร

แมวป่าหัวแบน เป็นสัตว์นักล่าที่มีขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่จะล่าเหยื่อที่ตัวเล็ก เช่น สัตว์จำพวกสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม และปลานั่นเอง 

นิสัยและพฤติกรรม

แมวป่าหัวแบน พฤติกรรมจะเป็นแมวที่ชอบเล่นน้ำมาก ซึ่งแตกต่างกับแมวทั่วไปที่ไม่ชอบน้ำเอาเสียเลย ซึ่งถ้าเห็นน้ำจะกระโจนเล่นน้ำแบบไม่รู้เหนื่อย สามารถลงไปในน้ำและจับปลากินเป็นอาหารได้ พฤติกรรมอีกอย่างหนึ่งของแมวสายพันธุ์นี้คือจะมีการนำเอาอาหารต่าง ๆ มาล้างน้ำก่อนกิน โดยเป็นพฤติกรรมที่แตกต่างจากแมวสายพันธุ์อื่น ๆ 

สถานภาพปัจจุบัน

น่าเสียดายที่แมวป่าชนิดนี้ได้กลายเป็นกลุ่มสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์เต็มที่ ซึ่งรายชื่อถูกกำหนดไว้ตามบัญชีแดงของสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์ (IUCN Red List, 2010) ไม่เพียงเท่านั้นยังเป็นสัตว์ป่าที่มีรายชื่ออยู่ในบัญชีสัตว์หมายเลข 1 ของอนุสัญญาการค้าสัตว์ป่าระหว่างประเทศ (CITES) ดังนั้นไม่สามารถครอบครอง ซื้อขาย และห้ามล่าเป็นอันเด็ดขาด 

แมวป่าหัวแบน สัตว์ที่เสี่ยงสูญพันธุ์จากปัญหามลภาวะทางน้ำ และการบุกรุกพื้นที่ป่า

แมวป่าหัวแบน เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์แมวป่าหายาก มีจำนวนประชากรอยู่ในขั้นวิกฤติที่อาจสูญพันธุ์ได้ตลอดเวลา แล้วทุกคนรู้หรือไม่ว่าทำไมจึงได้กลายเป็นสัตว์หายาก ปัจจัยหลักคือเกิดจากการปนเปื้อนสารพิษ มลภาวะทางน้ำ โดยเฉพาะการปนเปื้อนของสารเคมีอันตรายอย่างคลอรีน น้ำมัน และโลหะหนัก ซึ่งอย่างที่ทราบกันว่าแมวป่าหัวแบนจะชอบอาศัยอยู่ใกล้น้ำ และหากินไล่ล่าเหยื่อจากในน้ำ ดังนั้นจึงได้รับสารพิษจากอาหารนั่นเอง เมื่อสะสมในร่างกายในปริมาณจะทำให้แมวป่วยตายได้ รวมทั้งการบุกรุกพื้นที่ป่า การขยายพื้นที่ทำการเกษตร ก็ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้แมวป่าหัวแบนใกล้สูญพันธุ์ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นสัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครองเพื่อหลีกเลี่ยงการล่าจากน้ำมือมนุษย์ และเร่งฟื้นฟูเพิ่มประชากรให้มากขึ้น เพื่อให้แมวนักล่าสุดน่ารักสายพันธุ์นี้คงอยู่สืบต่อไป animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : ufaball.bet

Categories
ความรู้ สัตว์บก แนะนำ

แมวตีนดำ สายพันธุ์แมวที่ดุที่สุดในโลก ถึงหน้าตาจะน่ารักแต่โหดมากนะขอบอก

ถ้าพูดถึงแมวตีนดำบอกเลยว่าให้ลบความทรงจำแมวบ้านที่น่ารัก ๆ ออกไปได้เลย เพราะสายพันธุ์นี้ดุมาก ชนิดที่ว่าไม่ควรเข้าใกล้เป็นอันเด็ดขาด หนึ่งในนักล่ารัตติกาลที่โฉบเฉี่ยว ขึ้นชื่อมาในถิ่นแอฟริกา แม้ว่าหน้าตาของแมวชนิดนี้จะดูน่ารักสุด ๆ แต่นิสัยตรงข้ามกับหน้าตาเลยทีเดียว นอกจากนั้นแมวตีนดำยังเป็นแมวที่มีขนาดเล็กมากที่สุดในแอฟริกา หากดูเผิน ๆ อาจจะคิดว่าแมวบ้าน เพราะรุปร่างหน้าตาคล้ายกันมากจัดเป็นนักล่าเก่งอันดับต้น ๆ

ในพื้นที่เพราะแมวชนิดนี้เมื่อเปรียบเทียบอัตราการล่าสำเร็จสูงมากถึง 60% ซึ่งมากกว่าเสื้อชีตาร์ที่มีอัตราการล่าสำเร็จที่ 58% ส่วนสิงโตนั้นเหรอไม่ต้องพูดถึงเพราะห่างชั้นกับแมวตีนดำไปมาก เนื่องจากสิงโตมีอัตราการล่าสำเร็จเพียงแค่ 25% เท่านั้นเอง นับว่าแมวสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์นักล่าตัวยงเลยทีเดียว ถึงแม้จะตัวเล็กแต่โหดมากนะลงมือล่าเหยื่อเมื่อไหร่โอกาสพลาดน้อยมาก

ข้อมูลทั่วไปที่ควรทราบของแมวตีนดำ แมวหน้าบ๊องแบ๊วแต่ชอบแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ๆ 

แมวตีนดำ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Felis nigripes จัดเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ที่อยู่ในกลุ่มตระกูลแมว ซึ่งสายพันธุ์นี้มีทักษะการล่าที่ยอดเยี่ยมมาก จนได้ฉายานามว่า “10 แมวที่อันตรายที่สุดในโลก” เพราะน้องโหดจริง แนะนำว่าไม่ควรเข้าใกล้เด็ดขาดถ้าพบเจอเพราะคุณอาจจะถูกจู่โจมได้อย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะเป็นแมวที่เคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วสุด ๆ ดังนั้นมาเรียนรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับแมวสายพันธุ์นี้กันเถอะ

ลักษณะทางสัณฐานวิทยา

แมวสายพันธุ์นี้มีขนาดตัวเล็กมาก น้ำหนักตัวเมียอยู่ที่ประมาณ 0.8-1.6 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนตัวผู้จะหนักกว่านิดหน่อยประมาณที่ 1.6-2.1 กิโลกรัม ตัวเล็กจนกระทั่งได้รับการจัดอันดับเป็นแมวป่าที่ตัวเล็กที่สุดในโลก ลำตัวมีขนหนาปกคลุมฟูฟ่อง สีของขนจะเป็นสีน้ำตาลอ่อนไปจนเหลือง และมีสีน้ำตาลแดงปน มีลายจุดสีเข้มกระจาบตามลำตัว หน้าหมน หูใหญ่มน และลักษณะเด่นของแมวชนิดนี้คือ บริเวณอุ้งเท้าที่มีขนยาวสีดำปกคลุมอยู่ จึงตั้งชื่อว่าแมวเท้าดำ หรือตีนดำนั่นเอง และรู้ไหมว่าตีนดำนั้นมีประโยชน์มาก ๆ เป็นกลไกรักษาสมดุลของแมวสายพันธุ์นี้ เนื่องจากตีนสีดำจะช่วยให้สามารถทนทานต่อความร้อนของทะเลทรายได้ จึงทำให้เดินบนทะเลทรายที่ร้อนระอุได้อย่างสบาย ๆ 

ถิ่นที่อยู่อาศัย

แมวตีนดำ สามารถพบได้ในบางประเทศของทวีปแอฟริกาเท่านั้น เช่น ประเทศแอฟริกาใต้ นามิเบีย บอตสวานา และทางตอนใต้ของประเทศแองโกลา ซึ่งมักจะชอบอาศัยอยู่ตามป่าเล็ก ๆ ในทะเลทราย เช่น ทะเลทรายคาลาฮารี และคารู โดยจะชอบอยู่ในบริเวณป่าสูง ซึ่งมักจะมีหนู หรือสัตว์ตัวเล็กชุกชุมอยู่ เอาไว้ล่าเป็นอาหารนั่นเอง

ลักษณะนิสัย

แมวตีนดำ เป็นแมวที่รักสันโดษมาก ๆ มักจะออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนอย่างเดียวดาย เมื่อเข้าสู่เวลากลางวัน แสงแดดส่องเจิดจ้า และอุณหภูมิที่ร้อนเกินบรรยายแมวชนิดนี้จะเข้าไปหลบอยู่ตามโพรงปลวก โพรงของสัตว์ป่าชนิดอื่น และตามบริเวณซอกหิน เมื่อเข้าสู่ช่วงพลบค่ำ ก็จะออกมาปรากฏกายล่าเหยื่อกินเป็นอาหาร และเชื่อไหมว่าเป็นแมวที่สามารถกินซากได้ โดยมักจะนำอาหารไปตุนเอาไว้ในโพรงเพื่อกินในเวลาต่อมา

แมวตีนดำ นักล่าตัวเล็กจิ๋ว ที่ล่าเก่งติดอันดับต้น ๆ ของโลก เจ้าป่าอย่างสิงโตยังเทียบไม่ได้

สำหรับแมวตีนดำ จัดเป็นสัตว์ป่าที่ล่าเหยื่อได้เก่งมาก แต่อาจจะเป็นเพราะว่าเหยื่อส่วนใหญ่มีขนาดตัวเล็กกว่ามัน จึงทำให้ล่าได้ไม่ยาก แมวตีนดำชื่อนี้มาจากลักษณะของอุ้งเท้าที่ปกคลุมไปด้วยขนสีดำ เป็นสัตว์บกที่มีการกระจายพันธุ์ในบางประเทศของทวีบแอฟริกาเท่านั้น และปัจจุบันเสี่ยงอยู่ในกลุ่มสัตว์สูญพันธุ์สูงมาก เนื่องจากมีภัยคุกคามหลายด้าน จนทำให้แมวสายพันธุ์นี้ลดจำนวนลงเป็นปริมาณมาก แมวตีนดำยังมีการปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้เป็นอย่างดี สามารถอดน้ำได้นานมาก เนื่องจากพื้นที่ที่อยู่อาศัยเป็นทะเล แต่อย่างไรก็ตามน่าเสียดายที่มีโอกาสเห็นแมวนักล่าสายพันธุ์จิ๋วนี้ได้น้อยมาก animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : hilo-88.net

Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ สัตว์น้ำเค็ม แนะนำ

ทำความรู้จักกับ ฟองน้ำ สิ่งมีชีวิตสุดมหัศจรรย์ ที่อยู่โลกใต้ท้องทะเล

สิ่งมีชีวิตแสนมหัศจรรย์ใต้ท้องทะเล ฟองน้ำเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่มีโครงสร้างร่างกายไม่ซับซ้อน ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผิน ดูเหมือนจะเป็นก้อนหินที่มีลวดลาย สีสันในน้ำเสียมากกว่า สัตว์ชนิดจัดอยู่ในสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง จากประวัติการศึกษาพบว่าถือกำเนิดมานานกว่า 600 ล้านปีเลยทีเดียว โดยมีความเชื่อว่าฟองน้ำมีจุดเริ่มต้นมาจากสัตว์เซลล์เดียวอย่างโพรโทซัว และมาอยู่รวมกันเป็นโคโลนี จนกลายเป็นกลุ่มก้อนที่มีสีสันหลากหลายสวยงามตระการตา ในปัจจุบันมีฟองน้ำมากกว่า 15,000 ชนิด ที่กระจายไปแต่ละทวีปทั่วโลก ในประเทศไทยเองก็มีอยู่หลากหลายชนิด โดยเฉพาะทะเลที่มีความอุดมสมบูรณ์ แต่เชื่อไหมว่าสัตว์ชนิดนี้สามารถอาศัยได้ทั้งในทะเล และน้ำจืด โดยมีการจัดจำแนกชนิดเพียงแค่ 7,000 ชนิดเท่านั้น การดำรงชีวิตเรียบง่าย กินตะกอนเศษต่าง ๆ ที่มีขนาดเล็กในทะเล ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทสำคัญมากในระบบนิเวศทางทะเล

ฟองน้ำทะเล สิ่งมีชีวิตยุคดึกดำบรรพ์ ที่เปรียบเสมือนเครื่องกรองอากาศในระบบนิเวศทะเล

สิ่งมีชีวิตที่มีรูพรุนทั่วร่างกายอย่างฟองน้ำ ถือว่าเป็นเครื่องกรองธรรมชาติที่สามารถกรองเศษตะกอนขนาดเล็กจิ๋วต่าง ๆ ในท้องทะเลได้ นับว่าเป็นสัตว์ทะเลที่ใช้เป็นดัชนีชี้วัดคุณภาพของน้ำทะเลได้ โดยจะช่วยปรับปรุงน้ำทะเลให้ใสมากยิ่งขึ้น เห็นไหมว่าฟองน้ำ ประโยชน์ของมันน่าทึ้งจริง ๆ ไม่ได้เป็นเพียงแค่ของประดับตกแต่ง ที่เพิ่มทัศนียภาพใต้น้ำทะเลให้สวยงดงามมากขึ้นเท่านั้น

โครงสร้างและสัณฐานวิทยา

ฟองน้ำ ลักษณะเด่นจะมีรูปทรงเป็นพุ่มกลม และมีการแตกกิ่งก้านคล้ายกับต้นไม้ มีสีสันที่สวยงาม ซึ่งจัดเป็นสัตว์โบราณที่อยู่มานานมาก ๆ แต่มีวิวัฒนาการต่ำ สัตว์ชนิดนี้มีรูตามทั่วร่างกาย ซึ่งใช้ในการกรองกินอาหาร สัตว์ชนิดนี้ไม่มีระบบทางเดินอาหาร แต่สามารถย่อยผ่านเซลล์ที่เรียกว่าเซลล์ปลอกคอ (Collar cell) เนื้อสัมผัสนุ่มนิ่ม ยืดหยุ่น ไม่เสียรูปง่าย สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย และถ้ามองดูแบบผิวเผินก็จะรู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตได้เลยด้วยซ้ำ

วิธีการสืบพันธุ์

ฟองน้ำสามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ ซึ่งการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศจะมีการปฏิสนธิระหว่างเซลล์อสุจิและเซลล์ไข่ได้เป็นเซลล์ตัวอ่อนขึ้นมา ส่วนการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศจะใช้วิธีการแตกหน่อ ซึ่งรุ่นลูกที่ได้จะมีลักษณะเหมือนกับตัวต้นแบบทุกประการ

ชนิดของฟองน้ำที่ใช้เป็นตัววัดดัชนีคุณภาพของน้ำทะเล

สำหรับชนิดที่สามารถใช้ในการวัดคุณภาพของน้ำทะเลได้มีอยู่หลากหลายชนิด เช่น Oceanpia sagittaria และ Cliona sp. ซึ่งสามารถกรองตะกอน สารอินทรีย์ต่าง ๆ และสร้างกรดย่อยสลายหินปูนได้อีกด้วย นับว่าเป็นสัตว์ใต้ท้องทะเลที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์เป็นอย่างมาก

แหล่งที่อยู่อาศัย

สามารถอาศัยได้ทั้งในทะเลน้ำเค็ม และน้ำจืด แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ในน้ำเค็ม ซึ่งพบได้ในระบบนิเวศทะเลทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นทะเลเขตร้อน เขตอบอุ่น และเขตหนาว 

ฟองน้ำ เจ้าสิ่งมีชีวิตนุ่มนิ่ม ในท้องทะเล ที่มาพร้อมกับคุณประโยชน์นานานัปการ

ฟองน้ำอย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีกระดูกสันหลัง รูปร่างเป็นพุ่ม และฟองน้ำ โครงสร้างจะนุ่มนิ่ม มีความยืดหยุ่น ซึ่งปัจจุบันมีการนำฟองน้ำมาใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะนำมาเป็นอุปกรณ์ทำความสะอาด ขัดถูร่างกาย ทำความสะอาดครัวเรือน ใช้ทำเครื่องสำอาง และนำมาทำเป็นงานศิลปะได้ โดยตามธรรมชาติยังเปรียบเสมือนเครื่องกรองอากาศ กำจัดสิ่งสกปรกใต้ท้องทะเลเพื่อให้น้ำสะอาดใส ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม และสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ใต้น้ำ เชื่อไหมว่าการสืบพันธุ์ ฟองน้ำมีทั้งรูปแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ สามารถกระจายพันธุ์ได้จำนวนมากในแต่ละปี เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมานานตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ที่มีวิวัฒนาการต่ำ ฟองน้ำดำรงชีวิตด้วยการกินตะกอนต่าง ๆ และที่น่าทึ้งงานวิจัยค้นพบว่ามันสามารถเพาะเลี้ยงแบคทีเรียเอาไว้ในตนเอง และสร้างสารจุลชีพไม่ให้แบคทีเรียทำลายเนื้อเยื่อของมัน หรือแก่งแย่งอาหาร ซึ่งเหตุผลที่ทำเช่นนี้เนื่องจากว่ามันต้องการที่จะนำแบคทีเรียมาเป็นอาหารนั่นเอง จนได้รับฉายาว่าเป็นสัตว์นักเกษตรกรรมในยุคเริ่มแรกของโลกเลยก็ว่าได้ เรียกว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สามารถเอาตัวรอดและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้เหมาะสมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปจนถึงยุคปัจจุบัน animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : ufaball.bet

Categories
ความรู้ สัตว์บก แนะนำ

กระรอกสามสี สัตว์ป่าคุ้มครอง ขนสวยสะดุดตา หางยาวปุกปุย

กระรอกสามสี เป็นสัตว์สายพันธุ์กระรอกที่พบเห็นได้ยาก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Callosciurus prevostii เป็นกระรอกที่ตัวใหญ่ไม่ใหญ่มากนัก มีขนาดตัวปานกลาง ลำตัวของกระรอกสามสีอยู่ที่ประมาณ 25 เซนติเมตร และหางจะมีขนหนาปกคลุมฟูฟ่อง ซึ่งความยาวของหางจะอยู่ที่ประมาณ 27 เซนติเมตร กระรอกสามสี มีลักษณะที่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระรอกหลากสี จัดอยู่ในสกุลเดียวกัน มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Callosciurus finlaysonii แต่มีความแตกต่างกันที่สายพันธุ์สามสีตัวเมียจะมีเต้านม 3 คู่ ซึ่งกระรอกชนิดนี้สามารถพบได้ในทวีปเอเชีย มักอาศัยอยู่ตามธรรมชาติในป่าที่มีความอุดมสมบูรณ์

ข้อมูลทั่วไปที่น่าสนใจเกี่ยวกับกระรอกสามสีสัตว์โลกแสนน่ารัก 

กระรอกสามสี เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งปัจจุบันจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงใกล้เป็นสัตว์สูญพันธุ์ ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พุทธศักราช 2535 ให้กระรอกสายพันธุ์นี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง และห้ามไม่ให้มีการเลี้ยง แต่ก็ยังมีการแอบนิยมซื้อขายเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่

ลักษณะที่โดดเด่น

กระรอกสามสี ลักษณะที่โดดเด่นซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนคือสีของขนที่มีสามสี โดนบริเวณหูและหัวจะมีสีดำ ขนหางครึ่งหนึ่งเป็นสีดำ ปลายหาเป็นสีน้ำตาล ส่วนขาขนมีสีแดงปนน้ำตาลแก่ บริเวณโคนขาหลังด้านบนมีสีขาว ขนท้องจะมีสีน้ำตาลปนแดงมีแถบสีขาวพาดจากโคนขาหลังไปยังขาหน้า กระรอกสามสี จึงประกอบไปด้วยสีดำ สีขาว และสีน้ำตาล

ถิ่นที่อยู่อาศัย

สามารถพบได้บริเวณป่าดิบชื้น หรือป่าพรุ ในคาบสมุทรมลายู ตั้งแต่ภาคใต้ของประเทศไทยลงไป พบได้แม้กระทั่งในป่าพรุ เช่น ป่าพรุโต๊ะแดง จังหวัดนราธิวาส ประเทศมาเลเซีย หมู่เกาะสุมาตรา และหมู่เกาะอินโดนีเซีย

อาหารการกิน

กระรอกสายพันธุ์นี้กินอาหารได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ แมลงต่าง ๆ และไข่นก เป็นต้น

ลักษณะนิสัยและพฤติกรรม

สำหรับกระรอกชนิดนี้จะชอบออกหากินในเวลาตอนกลางวัน ออกหากินตามลำพัง หรืออาจจะอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนต้นไม้เป็นหลัก มีความว่องไว เคลื่อนไหวรวดเร็ว

ช่วงเวลาของการเจริญพันธุ์

กระรอกสามสี เป็นสัตว์ที่ผสมพันธุ์ตลอดปี ซึ่งฤดูผสมพันธุ์อย่างแท้จริง จะอยู่ช่วงเดือนกรกฎาคม-กันยายน กระรอกสายพันธุ์นี้มีระยะเวลาในการตั้งท้อง 40 วัน ในหนึ่งคอกจะได้ลูกอยู่ประมาณ 1 ถึง 4 ตัว น้ำหนักแรกเกิดจะอยู่ที่ประมาณ 16 กรัมเท่านั้น ตัวเล็กมาก ๆ 

ขนาดและน้ำหนัก

ถ้าเทียบกับกระรอกสายพันธุ์อื่น ๆ จะมีขนาดกลาง แต่ถ้าพูดถึงในตระกูล Callosciurus จะมีขนาดใหญ่ที่สุด โดยความเฉลี่ยวัดตั้งแต่ปลายจมูกจนถึงโคนหางจะอยู่ที่ประมาณ 20-27 เซนติเมตร หางยาวประมาณ 20-27 เซนติเมตร และขาหลังยาวประมาณ 4.5-8.0 เซนติเมตร ขาสั้นมาก แต่วิ่งเร็วจี๋เลย น้ำหนักตัวของกระรอกสายพันธุ์นี้จะมีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 250-500 กรัม ตัวเบาหวิว ปีนป่ายต้นไม้ได้เร็วสุด ๆ เลย

กระรอกสามสี สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่ใกล้สูญพันธุ์

กระรอกสามสีถึงแม้จะเป็นสัตว์ที่สามารถผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แต่ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่างทำให้กระรอกสายพันธุ์นี้เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ไม่ว่าจะนักล่าที่อยู่ตามธรรมชาติ และการบุกรุกป่าของมนุษย์ที่ส่งผลให้กระรอกสามสีขาดแคลนอาหารและถิ่นที่อยู่อาศัย กระรอกสามสีมีลักษณะโดดเด่นตามชื่อ โดยขนทั่วตัวจะมีทั้งหมดสามสี ได้แก่ สีดำ ขาว และน้ำตาล เป็นสัตว์บกที่อาศัยอยู่ในป่า ชอบการปีนป่าย จึงนิยมอยู่บนต้นไม้ มากกว่าบนพื้นดิน สัตว์ชนิดมีขนาดตัวไม่ใหญ่มากนัก น้ำหนักเบา อาหารหลักจะเป็นพวกผลไม้ หรือเป็นพวกแมลงตัวเล็ก ๆ ที่หาได้ง่ายตามป่าเขา ปัจจุบันจัดเป็นสัตว์ที่มีความเสี่ยง เป้นสัตว์หายาก จึงถูกคุ้มครองให้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ไม่อนุญาตให้เลี้ยงโดยทั่วไป รวมทั้งไม่อนุญาตให้มีการเพาะพันธุ์เพื่อขาย หากจะเลี้ยงจะต้องมีการขออนุญาตอย่างถูกกฎหมาย เพื่อเป็นการอนุรักษ์ให้สัตว์ชนิดนี้คงอยู่ต่อไปในอนาคต ดังนั้นอยากให้ทุกท่านตระหนักในการรักษาสมดุลธรรมชาติไม่บุกรุกพื้นที่ป่า เพื่อลดอัตราการสูญพันธุ์ของสัตว์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในทุกปี 

animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ สัตว์บก แนะนำ

รู้จักกับ แมวทะเลทราย Sand cat นักล่าสายพันธุ์จิ๋ว หน้าตาสุดน่ารัก

วันนี้จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ แมวทะเลทราย หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า “Sand cat” เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์แมวเหมียว ที่มีรูปร่างหน้าตาน่ารักมาก ตัวเล็กกระจิ๋วหลิวดูแล้วไม่มีพิษภัย แต่บอกว่าอย่าพึ่งหลงไหลเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าแมวทะเลทรายเท่านั้น เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งแมวนักล่าที่อยู่ตามธรรมชาติ เห็นตัวเล็กน่าอุ้มแบบนี้ เจ้าเหมียวเอาตัวรอดเก่งมาก เกิดมาเพื่ออาศัยอยู่ในทะเลทรายได้อย่างสบาย ๆ เพราะว่าแมวทะเลทรายมีอุ้งเท้าสุดแกร่งที่เต็มไปด้วยขนคลุมเอาไว้ ช่วยป้องกันความร้อนทำให้เดินเหินบนทะเลทรายแสนร้อนระอุได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังตัวเบาเดินไม่ทิ้งรอยเท้ามาพร้อมกับประสาทหูที่ไวมาก จึงทำให้สามารถล่าเหยื่อได้ไม่ยาก ซึ่งไม่แปลกใจเลยว่าทำไมแมวชนิดนี้ถึงอาศัยอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้งได้

แมวทะเลทราย มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร และอาศัยอยู่ที่ไหนเอ่ย?

แมวทะเลทรายเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมสายพันธุ์แมวที่ครองสถิติตัวเล็กที่สุดในโลก ซึ่งเชื่อไหมว่าตัวผู้จะมีน้ำหนักเพียงแค่ 2.1-3.4 กิโลกรัมเท่านั้น ส่วนตัวแมวจะหนักที่ 1.4-3.1 กิโลกรัม ลักษณะจะมีขนสีน้ำตาลซีดไปถึงเทาอ่อน ขนหนานุ่ม กลางสันหลังสีจะเข้ม บริเวณใบหน้ามีเส้นสีน้ำตาลแดงพาดที่หางตาไปจนถึงแก้ม ดวงตาโต ดูน่ารักน่าชังเชียวเลยแหละ แต่จุดที่พิเศษคือบริเวณเท้าที่มีขนปกคลุมหนาแน่นทำให้ทนความร้อนได้ดี 

ถิ่นที่อยู่อาศัย

แมวทะเลทรายจากประวัติการศึกษาพบว่าอาศัยในพื้นที่แห้งแล้ง ทุรกันดาน ซึ่งสามารถเจอได้ที่ทะเลทรายซาฮารา ในแถบประเทศโมรอกโก มอริเตเนีย อียิปต์ และซูดาน ทั้งยังมีถิ่นอาศัยในแถบเอเชียกลางไปจนถึงปากีสถาน ซึ่งปัจจุบันจัดว่าเป็นสัตว์หายาก เนื่องจากเป็นแมวนักล่าที่มีความว่องไว ไม่ค่อยปรากฏตัวให้ใครเห็น ซึ่งไม่ได้จัดอยู่ในกลุ่มของสัตว์สูญพันธุ์

ลักษณะนิสัย

เป็นแมวนักล่าที่ย่องเก่งมาก ประสาทหูไว เนื่องจากมีหูขนาดใหญ่ทำให้ประสิทธิภาพของการได้ยินสูงมาก เคลื่อนไหวคล่องตัว แผ่วเบา ไม่ทิ้งรอยเท้า แต่จะเป็นแมวที่ขาดทักษะของการปีนป่ายและกระโดดไม่ค่อยเก่ง ชอบหากินในเวลากลางคืน ส่วนเวลากลางวันจะหมดไปกับการพักผ่อน ซึ่งเชื่อไหมว่าแมวสายพันธุ์นี้มีทักษะการขุดที่ยอดเยี่ยมมาก เพราะต้องขุดโพรงเพื่ออยู่อาศัย และน้องไม่ชอบอยู่เป็นฝูง จึงทำให้อัตราประชากรต่ำ

อาหารการกิน

แมวชนิดนี้สามารถกินอาหารได้หลากหลาย ซึ่งเหยื่อส่วนใหญ่จะเป็น กระต่ายป่า นก สัตว์เลื้อยคลาน เจอร์บิล เจอร์บัว แมลง และสัตว์ขนาดเล็กในทะเลทราย โดยจะมีศัตรูตามธรรมชาติเป็นจำพวกงูพิษ นกเค้าขนาดใหญ่ และหมาจิ้งจอก

ความสามารถพิเศษ

เชื่อไหมว่าแมวทะเลทรายมีความสามารถสุดแปลกที่ไม่เหมือนแมวอื่น ๆ เพราะสามารถอยู่ได้โดยไม่ต้องดื่มน้ำเลยตลอดทั้งวัน เพราะว่าได้รับน้ำเพียงพอจากการกินเหยื่อแล้ว แถมถ้ากินเหยื่อไม่หมดน้องจะเอาไปกลบไว้ในทรายเก็บไว้กินทีหลัง พฤติกรรมจะค่อนข้างแปลก ลึกลับ น่าค้นหา

สิ่งมีชีวิตสุดลึกลับ “แมวทะเลทราย” นักย่องแห่งรัตติกาล

แมวทะเลทราย เป็นสัตว์บกที่เรียกได้ว่ามีความพิเศษมาก เนื่องจากอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดาร ท้องทะเลทรายอันแสนร้อนอบอ้าว แมวทะเลทรายมีโครงสร้างร่างกายที่กะทัดรัด ขนาดเล็กที่สุดในโลก แต่เป็นสายพันธุ์ที่อึดถึกทน เท้าเต็มไปด้วยขนหนาที่ช่วยป้องกันความร้อนจากพื้นทราย มีทักษะการล่าที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยประสาทหูที่ไว จึงทำให้หาเหยื่อได้ง่าย สามารถทราบพิกัดเหยื่อได้ระยะไกล และดักซุ่มรอเพื่อโจมตี กินอาหารได้หลากหลาย และแตกต่างกับแมวป่า โดยแมวทะเลทรายสามารถอดน้ำได้เป็นเวลายาวนาน ไม่ต้องการน้ำมากในการดำรงชีวิต เนื่องจากน้ำที่ได้จากการกินเหยื่อก็เพียงพอแล้ว ปัจจุบันแมวชนิดนี้ไม่ได้ถูกจัดอยู่ในสัตว์เสี่ยงสูญพันธุ์ แต่อย่างไรก็ตามด้วยอุปนิสัยที่รักสันโดด ไม่ชอบสุงสิงกับใคร จึงทำให้มีจำนวนประชากรน้อย พบเจอได้ยาก ซ่อนตัวเก่งมาก เรียกได้ว่าเป็นนักล่าย่องเบาแห่งท้องทะเลทรายเลยทีเดียว หากใครไปเที่ยวทะเลทรายแล้วได้เจอน้อง ๆ ถือว่าโชคดีมาก เพราะไม่ได้ออกมาแสดงตัวบ่อย ๆ โดยเฉพาะกลางวันจะเป็นช่วงเวลาพักผ่อน และออกล่าเหยื่อในตอนกลางคืนเท่านั้น animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ แนะนำ

กัลปังหา ความงดงามแห่งท้องทะเล

กัลปังหา มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า “Gorgonia sp.” ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตสุดแสนมหัศจรรย์อยู่ใต้ท้องทะเล ทำให้โลกของทะเลน่าหลงใหล เพิ่มสีสันสวยงาม เปรียบเสมือนเป็นม่านพลิ้วไหวมองแล้วประทับใจไม่รู้ลืม กัลปังหาหลายคนอาจจะคิดว่ามันเป็นพืช แต่ที่จริงแล้วเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่จัดอยู่ในกลุ่มสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง โครงสร้างร่างกายไม่ซับซ้อน รูปร่างตามธรรมชาติจะค่อนข้างคล้ายกับต้นไม้ ขนนก หรือหวี มีสีสันที่หลากหลายทั้งสีส้ม สีแดง สีขาว สีน้ำตาลเข้ม และสีแดงอิฐ เป็นต้น นอกจากนั้นบางสายพันธุ์รูปร่างยังคล้ายกับพัด จึงทำให้เรียกว่า พัดทะเล” หรือถ้าหากมีรูปร่างเป็นเส้น ๆ คล้ายกับแส้ จะเรียกว่า “แส้ทะเล” กัลปังหาจะรูปร่างได้หลายแบบ ซึ่งสามารถแผ่กิ่งก้านตามกระแสน้ำ เพื่อใช้ในการดักกรองสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กสำหรับกินเป็นอาหารนั่นเอง

ทำความรู้จักกับ “กัลปังหา” สิ่งมีชีวิตที่น่าค้นหา เจิดจรัสอยู่ในโลกใต้น้ำทะเล

หลังจากที่ได้ทำความรู้จักกับกัลปังหากันไปคร่าว ๆ แล้ว ต่อมาอยากให้ทุกคนได้ทำความรู้จักกับสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ชนิดนี้กันให้มากขึ้น มันเป็นสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ชอบอาศัยอยู่บริเวณที่มีกระแสน้ำไหล เนื่องจากว่าจะต้องดักจับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ไหลมากับกระแสน้ำเป็นอาหาร สัตว์ทะเลไม่มีกระดูกสันหลังชนิดนี้ดำรงชีวิตได้อย่างเรียบง่าย มีขนาดเล็ก และจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกับปะการัง ซึ่งในทะเลประเทศไทยเองก็ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์ของสิ่งมีชีวิตชนิดนี้ 

ลักษณะโครงสร้าง

เป็นสัตว์ชั้นต่ำที่อาศัยอยู่กันเป็นกลุ่ม โดยร่วมกันสร้างเป็นโครงร่างหรือแกนกลางขึ้นมา ความสูงอยู่ที่ประมาณ 50-150 เซนติเมตร เท่านั้น กัลปังหา ลักษณะจะคล้ายพุ่มไม้ ขนนก พัด หรือแส้ ภายในเป็นองค์ประกอบของหินปูน ทำหน้าที่เปรียบเสมือนกับกระดูกในสัตว์ชั้นสูง มีสีสันสวยงามหลากหลาย ไม่ว่าจะสีขาว สีแดง สีน้ำตาล สีแดงอิฐ แต่ไม่มีสีดำ ในส่วนของหัวจะมีหนวดซึ่งเป็นหนวดพิษเอาไว้ทำหน้าที่ในการจับกินอาหาร

การสืบพันธุ์

การสืบพันธุ์ กัลปังหา สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศ และไม่อาศัยเพศ โดยสามารถสืบพันธุ์ได้โดยมีวิธีการดังนี้

  • แบบอาศัยเพศ : มีการปฏิสนธิภายในระหว่างเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้และเพศเมียที่มาจากต่างโคโลนีกัน
  • แบบไม่อาศัยเพศ : เป็นการแตกหน่อ ซึ่งรุ่นลูกที่ได้จะมีลักษณะเหมือนพ่อแม่ทุกประการ

โดยภาวะปกติมักจะมีการสืบพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศมากกว่าอาศัยเพศ ซึ่งเป็นการดำรงพันธุ์อย่างง่าย และมีอัตราการกลายพันธุ์ต่ำ 

ประโยชน์ กัลปังหา มีอะไรบ้าง?

กัลปังหา เป็นสิ่งมีชีวิตมหัศจรรย์ที่ประโยชน์หลากหลายด้าน ซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ใต้ท้องทะเลขนาดเล็ก ทั้งยังมีความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตชนิดนี้เป็นเครื่องรางของขลัง จึงทำให้เกิดค่านิยมแบบผิด ๆ และไม่เพียงเท่านั้นคนจีนเชื่อว่าเป็นสมุนไพรที่บำรุงร่างกาย แต่อย่างไรก็ตามความเชื่อเหล่านี้ทำให้เกิดการบุกรุกธรรมชาติของสิ่งแวดล้อมใต้ท้องทะเล และหากกัลปังหาถูกทำลาย จะส่งผลต่อสัตว์เล็กและระบบนิเวศทะเล ทำให้สัตว์ตัวเล็กตัวน้อยไม่มีที่หลบภัยจากนักล่า ไม่มีที่อยู่อาศัย ไม่มีแหล่งฟักไข่ เกิดผลกระทบทำให้ระบบนิเวศทะเลพังเสียหายได้ 

ถิ่นที่อยู่อาศัย

สามารถดำรงชีวิตได้ในบริเวณเขตทะเลลึกและตื้น ซึ่งในประเทศไทยสามารถพบได้ทั้งบริเวณอ่าวไทย และทะเลอันดามัน

สรรพคุณทางยา

ในตำรายาไทย เชื่อว่าสามารถนำมาใช้ในการสมานแผล แก้บาดแผลตามเนื้ออ่อน และแก้หนังถลอกฉีกขาดได้อีกด้วย 

กัลปังหา สิ่งมีชีวิตที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์

กัลปังหาแม้จะเป็นสัตว์ทะเลที่สามารถพบได้โดยทั่วไปในทะเลน้ำลึกและตื้น แต่ปัจจุบันพบว่าพวกมันถูกรุกราน และทำลายอย่างหนัก จากน้ำมือของมนุษย์ ทำให้เกิดภาวะขาดความสมดุลในระบบนิเวศ ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับปะการัง ที่เกิดสภาวะปะการังฟอกขาว ดังนั้นอยากให้ทุกคนตระหนัก และใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อคงรักษากัลปังหาสิ่งมีชีวิตที่สวยงามใต้ท้องทะเลนี้เอาไว้ในอนาคต เนื่องจากกัลปังหาเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์เล็กในท้องทะเล เป็นที่หลบภัย และเป็นบริเวณฟักไข่ เพราะฉะนั้นหากถูกโดยทำลายไปจำนวนมาก จะส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลอย่างแน่นอน ดังนั้นเราควรที่จะช่วยกันอนุรักษ์เอาไว้ เพื่อให้สิ่งมีชีวิตอันแสนสวยงามนี้ ยังคงตั้งสง่าในพื้นท้องทะเล animal2you.com

บทความเพิ่มเติม

Sponsor : https://ufaball.bet/

Categories
ความรู้ แนะนำ

สัตว์ดึกดำบรรพ์ ร่องรอยที่หลงเหลือจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

สัตว์ดึกดำบรรพ์ ร่องรอยที่หลงเหลือจากยุคก่อนประวัติศาสตร์

สัตว์ดึกดำบรรพ์

สัตว์ดึกดำบรรพ์ การที่จะถูกเรียกว่าซากดึกดำบรรพ์ได้นั้นมาจากการถูกแปรสภาพหรือถูกธรรมชาติเก็บรักษาไว้อยู่ในชั้นของหินเป็นเวลายาวนานมาก เราสามารถหาประโยชน์จากซากสัตว์ดึกดำบรรพ์ได้ไหมนั้น คำตอบคือได้ พวกซากสามารถบอกกิจกรรมต่าง ๆ ของสัตว์เหล่านั้นได้ ว่าพวกมันกำลังทำอะไรอยู่ในขณะนั้น การศึกษาซากเหล่านี้มักเล็งเห็นความสำคัญของเวลา ทำไมต้องเป็นเวลา เพราะว่าเวลานาน ๆ มาก ๆ บอกถึงการวิวัฒนาการของสัตว์เหล่านั้นได้ด้วย กล่าวคือสามารถทราบถึง สัตว์ดึกดำบรรพ์ มีวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน จากสัตว์อะไรมาก่อน หรือมีบรรพบุรุษเป็นอะไรมาก่อน

สัตว์ดึกดำบรรพ์ กับการวิวัฒนาการมาสู่ปัจจุบัน

สัตว์ดึกดำบรรพ์ ในปัจจุบันมีให้พบเห็นอยู่บ่อยครั้งมาก เราจะมีภาพจำเป็นพวกไดโนเสาร์ หรือยุงขนาดใหญ่ที่โดนแช่แข็งในยางไม้อำพัน แล้วทำไมปัจจุบันเราไม่เห็นยุงขนาดใหญ่เหมือนในยางไม้อีกล่ะ นั้นเป็นเพราะว่ายุงได้มีการพัฒนาให้มีขนาดเล็กลง เพื่อให้ง่ายต่อการหลบหลีก และยังง่ายต่อการดำรงชีวิตในด้านต่าง ๆ สังเกตได้อีกว่าสัตว์บางชนิดมีลักษณะคล้ายกับสัตว์ดึกดำบรรพ์ หรือมีต้นแบบมาจากสัตว์ดึกดำบรรพ์ หลังจากที่เรานำมาเทียบความคล้าย โครงสร้าง การเรียงกันของโครงกระดูก ซึ่งข้อมูลนี้สามารถทราบถึง สัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่เคยมีอยู่ในอดีต 

  • อาร์คีลอน เป็นเต่าทะเลสูญพันธุ์ที่ใหญ่ที่สุด พบฟอสซิล โดยพบซากโดยประมาณในปี ค.ศ.1895 ที่รัฐเซาท์ ดาโคตา ขนาดของมันที่ค้นพบที่ใหญ่ที่สุดมีความยาวมากกว่า 4 เมตร หนักประมาณ 2 ตัน อาศัยอยู่ในยุคครีเทเชียสตอนปลายเมื่อประมาณ 75-65 ล้านปีก่อน สัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่สูญพันธุ์ ไปพร้อมกับไดโนเสาร์ มันเป็นบรรพบุรุษของเต่าทะเลในปัจจุบัน กระดองของมันไม่แข็งเหมือน เหมือนเต่าปัจจุบัน แต่จะเหนียวในเนื้อ และมีกระดูกหุ้มบางส่วน
  • ไทรออปส์ หรือกุ้งไดโนเสาร์ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์เกิดในยุคคาร์บอนิฟอรัสถูกยกให้เป็นฟอสซิลที่ยังมีชีวิต เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง อาศัยในน้ำจืด มีขนาดเล็กประมาณ 1-3 นิ้ว มีอายุประมาณ 300 ปี สามารถผสมพันธุ์ได้ในตัวเอง แต่พบไม่บ่อยนัก ส่วนใหญ่เป็นเพศผู้ หรือเพศเมีย อย่างใดอย่างหนึ่ง สาเหตุที่มันอยู่รอดได้มาจนถึงทุกวันนี้ เพราะว่า ไทรออปส์ตัวเมียใช้ขาสร้างถุงใส่ไข่ ส่วนของไข่จะถูกหุ้มด้วยเปลือก ทั้งเพื่อรักษาตัวอ่อนไว้ซึ่งสามารถอยู่ได้ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการฟักตัว เช่น ร้อนจัด หนาวจัด ไข่จะถูกฟักเป็นตัวเมื่อไข่แห้งเต็มที่ แล้วกลับมาเปียกน้ำอีกครั้งในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม 
  • ไซยาโนแบคทีเรียเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก ตัวของมันเป็นแบคทีเรียที่สังเคราะห์ด้วยแสงได้ โดยมันเป็นสาหร่ายชนิดหนึ่งที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับนิวเคลียสของแบคทีเรีย และบางชนิดยังมีคุณสมบัติตรึงไนโตรเจนในอากาศได้ และมีคุณสมบัติทางชีวเคมีคล้ายแบคทีเรียด้วย แตกต่างจากแบคทีเรีย ตรงที่สาหร่ายชนิดนี้มีคลอโรฟิลล์และมีความสามารถในการปล่อยออกซิเจนออกสิ่งแวดล้อมด้วยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง ซึ่งไม่สามารถพบในแบคทีเรีย 
  • ช้างแมมมอธ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ อาศัยอยู่บนโลกมาตั้งแต่ 4.8 ล้านปีก่อน และสูญพันธุ์ไปเมื่อ 13,000-60,000 ปี เคยอาศัยอยู่แถบอเมริกาเหนือและยูเรเซีย น้ำหนักราว 6-8 ตัน อาศัยอยู่ในยุคน้ำแข็งเมื่อ 20,000 ปีก่อน แต่สูญพันธุ์ไปเพราะถูกมนุษย์ยุค หินล่า มีขนยาวปกคลุมเพื่อป้องกันความหนาวมีงายาว และโค้ง การค้นพบซากแมมมอธ สามารถนำมาศึกษาวิจัยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศโลก และยังสามารถทราบถึง สัตว์ดึกดำบรรพ์ ที่เคยมีอยู่ในอดีต เพราะแมมมอธเคยผ่านช่วงเวลานั้นมา ค.ศ. 2007 ได้มีการพบซากลูกช้างสูง 130 เซนติเมตร น้ำหนัก 50 กิโลกรัม ใกล้กับแม่น้ำยูริเบ 
  • เสือเขี้ยวดาบ เป็นสัตว์ดึกดำบรรพ์ อาศัยอยู่ในทวีปยุโรป แอฟริกา เอเชียและอเมริกาเหนือ ในเขตทุ่งหญ้าสเตปส์ ทุ่งหญ้าสะวันนา ทุ่งหญ้าแพร์รี่ ป่าไม้ผลัดใบและป่าดงดิบ เมื่อราว 10,000 ปีก่อน รูปร่างและขนาด ขาหน้ายาวกว่าขาหลัง หางสั้น ฟันเขี้ยวบนยาวแบนและโค้งแบบมีดดาบ เสือเขี้ยวดาบสืบเชื้อสายมาจาก โปรไอลูรัส สัตว์ตระกูลแมวชนิดแรกของโลก ในปัจจุบันสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดมากที่สุดอาจเป็นเสือลายเมฆ 

สัตว์ดึกดำบรรพ์เป็นส่วนหนึ่งขอคำว่าซากดึกดำบรรพ์ซึ่งสามารถทราบถึงการที่สัตว์เหล่านี้เคยมีอยู่ในอดีต ได้โดยจะทิ้งตัวของโครงกระดูก รอยเท้า อีกทั้งยังมีสัตว์บางชนิดที่เป็น สัตว์ดึกดำบรรพ์ มีวิวัฒนาการ มาจนถึงปัจจุบัน นั้นเป็นการแสดงให้เห็นว่าสัตว์พวกนี้มีการปรับให้เข้ากับสภาพแวดล้อม เพื่อความอยู่รอด

 

 

 

 

สนับสนุนโดย : 

https://hilospec.com เว็บคาสิโนออนไลน์อันดับ1 ที่ได้เปิดให้บริการมาอย่างยาวนาน โดยทางเราเป็นเว็บตรงฝากถอนไม่มีขั้นต่ำที่ยิ่งกว่าเว็บทั่วไป มาพร้อมเกมเดิมพันมากมายแบบไม่อั้นแน่นอน

Categories
ความรู้ แนะนำ

สัตว์เลี้ยง เพื่อนคลายเหงาที่คอยเคียงข้างกัน

แนะนำ

สัตว์เลี้ยง คือสัตว์ที่ได้รับการดูและคุ้มครองโดยมนุษย์ มีความผูกพัน เป็นมิตรต่อกันระหว่างสัตว์เลี้ยง และผู้เลี้ยง สัตว์ที่เลี้ยงได้จะต้องไม่ใช่สัตว์สงวน และถูกกฎหมาย แต่ละพื้นที่จะมีกฎหมายที่ต่างกันไป ควรศึกษาก่อนจะนำสัตว์มาเลี้ยง รวมถึงต้องศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสัตว์ให้ละเอียด เช่น วิธีการเลี้ยงดู อาหารที่กิน พฤติกรรมของสัตว์ พื้นที่ที่เราอยู่นั้นเหมาะสมต่อการเลี้ยงหรือไม่ รวมถึงการคำนึงถึงความพร้อมของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่าย หรือเวลา เมื่อนำมาเลี้ยงก็ไม่ควรปล่อยปละละเลยจนทำให้เกิดความเดือดร้อนต่อตนเอง และผู้อื่น ควรมีความรับผิดชอบ เอาใจใส่ต่อสัตว์เลี้ยงของตน ส่วนใหญ่ สัตว์เลี้ยง ให้ความเพลิดเพลิน การเลี้ยงสัตว์เหล่านี้จึงมีประโยชน์ต่อทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจของผู้เลี้ยง เปรียบเสมือนเรามีเพื่อนคนหนึ่งเลย 

สัตว์เลี้ยง มีมากมายหลายชนิดให้ทำความรู้จัก

สัตว์เลี้ยง สามารถช่วยคลายความเหงาจากการอยู่คนเดียว สร้างความเพลิดเพลินโดยเหล่า สัตว์เลี้ยง ให้ความเพลิดเพลิน คลายความเครียดจากงาน หรือเลี้ยงไว้ประดับบ้านเพื่อความสวยงาม อีกทั้งยังช่วยสร้างความรับผิดชอบ เอาใจใส่ต่อสัตว์เลี้ยงของตน สัตว์เลี้ยงที่สามารถเลี้ยงได้มีมากมายให้เลือกสรร ประเภทที่คนนิยมเลี้ยงเพื่อความเพลิดเพลิน เช่น สุนัข แมว กระต่าย นก ปลา และสัตว์เลื้อยคลาน

  • สุนัข สัตว์เลี้ยงแสนรู้ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์เป็นเวลายาวนาน ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ เป็นสัตว์ที่เฉลียวฉลาด สามารถฝึกฝนให้ทำตามคำสั่งได้ มีนิสัยร่าเริง สัตว์เลี้ยง ที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ คลายความเหงาให้กับผู้เลี้ยง และซื่อสัตย์จงรักภักดีต่อเจ้าของเป็นอย่างมาก
  • แมว มีนิสัยรักอิสระ โลกส่วนตัวสูง มักจะนอนตลอดทั้งวัน เนื่องจากแมวเป็นสัตว์ที่จะออกหากินเวลากลางคืน แม้จะเป็นแมวบ้านแต่ก็ยังคงมีสัญชาตญาณล่าเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นหนุ กิ้งก่า จิ้งจก บางคนเลี้ยงแมวไว้เพื่อเหตุผลนี้
  • นก แต่ละสายพันธุ์จะมีวิธีเลี้ยงดูที่ต่างกันไป บางชนิดไม่ชอบการสัมผัสจากมนุษย์ บางชนิดก็ถือว่าเป็น สัตว์เลี้ยง ที่เป็นมิตรต่อมนุษย์ ร่าเริง เราจึงควรศึกษาอย่างละเอียดก่อนเลี้ยง นกมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงนกค่อนข้างถูก เมื่อเทียบกับสัตว์ชนิดอื่นๆ 
  • ปลา นิยมเลี้ยงเพื่อประดับให้ดูสวยงาม หรือเสริมดวงเป็นสิริมงคลให้แก่บ้าน อีกทั้งยังช่วยกำจัดลูกน้ำยุงลายในบ่อน้ำ การเลี้ยงปลาจำเป็นต้องมีความรับผิดชอบในการถ่ายน้ำ และให้อาหาร เพราะพฤติกรรมของปลาไม่ได้ชัดเจนเหมือนสุนัข แมว หรือสัตว์บนบก จึงต้องคอยสังเกต และมีความรับผิดชอบในการดูแล

การมี สัตว์เลี้ยง ช่วยปรับปรุงพฤติกรรมของเราให้มีความรับผิดชอบมากยิ่งขึ้น บางคนอาจมีสุขภาพที่ดีกว่าเก่า เพราะต้องพาสัตว์เลี้ยงออกไปเดินเล่น ทำให้ได้ออกกำลังกายไปในตัว ผ่อนคลายจากความเครียด เนื่องจากการมี สัตว์เลี้ยง คลายเหงา ทำให้เรารู้สึกเหมือนกับมีเพื่อนคุย เพื่อนเล่น และการเลี้ยงสัตว์นั้นมาพร้อมกับความรับผิดชอบอีกมากมาย เราต้องคำนึงถึงค่าใช้จ่ายที่จะตามมา เวลาที่เราจะมีให้ กล่าวในภาพรวมนั่นก็คือ ความพร้อมที่จะดูแล ถ้าหากเราไม่มีความความพร้อมที่จะดูแลสัตว์เลี้ยงของตน ความลำบากไม่ได้ตกมาที่ตนเองเท่านั้น สัตว์เลี้ยงของเราก็จะลำบากเช่นกัน 

Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ แนะนำ

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ปลาอะไรลายคล้ายผึ้ง

แนะนำ

     ในเมื่อผึ้งเป็นแมลงที่สามารถบินได้และมีลวดลายเป็นสีเหลืองดำ มีหรือที่สัตว์บนโลกอย่างปลาจะมีบ้างไม่ได้ ซึ่งเรากำลังพูดถึง “ปลาสร้อยน้ำผึ้ง” อยู่นั่นเองค่ะ เพราะปลาชนิดนี้เขามีลวดลายที่คล้ายคลึงกับผึ้งมาก เพียงแต่บินได้เท่านั้นเอง แล้วปลาชนิดนี้จะมีอะไรน่าสนใจและเรื่องน่ารู้อะไรบ้างนั้น แวะมาอ่านที่บทความนี้ได้เลยค่ะ

ลักษณะทั่วไปของปลาสร้อยน้ำผึ้ง

     ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นปลาน้ำจืดสายพันธุ์หนึ่งที่เป็นที่นิยมในการนำไปทำเป็นอาหารและน้ำปลาในประเทศไทย โดยปลาสร้อยน้ำผึ้ง ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยสามารถพบได้ในทุกภาคไปจนถึงประเทศมาเลเซีย ส่วนในต่างประเทศนั้นจะพบบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยปลาสร้อยน้ำผึ้งลักษณะของมันหากเป็นสายพันธุ์ปกติจะมีสีเช่นเดียวกับผึ้ง โดยบริเวณลำตัวจะยาวคล้ายทรงกระบอก มีสีเหลืองทั่วตัวเสียส่วนใหญ่ และจะมีจุดแต้มหรือลายแต้มที่เป็นสีดำอยู่ทั่วตัว จึงเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งนั่นเอง

     ซึ่งก็ยังมีปลาสร้อยน้ำผึ้งที่มีการดัดแปลงสายพันธุ์อีกด้วย เช่น ปลาสร้อยน้ำผึ้งเผือก ที่บริเวณลำตัวจะเป็นสีเหลืองปนขาวเผือกนั่นเอง อาหารปลาสร้อยน้ำผึ้งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่สามารถพบได้บริเวณแหล่งน้ำที่มันอาศัยอยู่ เช่น ตะไคร่น้ำ และซากพืชซากสัตว์ที่หล่นลงไปในแม่น้ำในบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่ เป็นต้น

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง มีหลายชื่อนะรู้ยัง

     ชื่อที่เรารู้จักกันของปลาชนิดนี้ก็คือ “ปลาสร้อยน้ำผึ้ง” แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมันยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อเลยค่ะ ซึ่งแต่ละชื่อเรียกนั้นก็จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่มันอยู่อาศัยโดยในประเทศไทยก็มีอยู่ทุกภาคชื่อของพวกมันจึงเปลี่ยนไปตามภาคนั่นเอง เช่น ปลาผึ้ง , ปลาน้ำผึ้ง , หรือปลาปักษ์ใต้ เป็นต้น และหากใครที่อยากเลี้ยงปลาสร้อยน้ำผึ้งนั้นก็สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามร้านขายปลาทั่วไป โดยปลาสร้อยน้ำผึ้งราคาของมันนั้นจะไม่สูงมาก อยู่ที่ประมาณ 100 บาท ขึ้นไปเท่านั้น

บทสรุป 

     ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งก็มีการซื้อขายปลาชนิดนี้กันเป็นเรื่องธรรมดา โดยลวดลายของมันจะมีความคล้ายคลึงกับผึ้งนั่นก็คือ จะเป็นสีเหลืองที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำ เราจึงรียกมันว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งนั่นเอง

 

 

 

เว็บบอล