Categories
สัตว์เลื้อยคลาน

งูทับสมิงคลา เจอที่ไหนรีบออกห่างให้ไว

งูในประเทศไทยของเรานั้นมีอันตรายไม่แพ้กับงูในต่างประเทศเลยแม้แต่น้อย มันจึงไม่น่าแปลกใจที่หากคุณลองสุ่มถามใครสักคนว่าสัตว์ที่พวกเขากลัวมากที่สุดคืออะไรแล้วเราจะได้คำตอบกลับมาว่าเป็นงู อย่างเช่นงูที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้นั่นก็คือ งูทับสมิงคลา พวกเขาเป็น สัตว์มีพิษ ที่อันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว ดังนั้นหากไปเจอพวกเขาที่ไหนเราจึงต้องพยายามรีบออกห่างให้ไว สำหรับใครที่สนใจเราจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นกัน 

ทำความรู้จักกับ งูทับสมิงคลา งูที่อันตรายถึงชีวิต 

งูทับสมิงคลา

งูทับสมิงคลาที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้เป็นงูที่มีขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ไม่น้อยเลยทีเดียว พวกเขานั้นสามารถมีความยาวได้สูงสุดมากกว่า 1 เมตร มันจึงไม่น่าแปลกใจที่หลายคนจะรู้สึกหวาดกลัวพวกเขาเมื่อได้เห็นตั้งแต่ครั้งแรก เราสามารถสังเกตเห็นว่าเป็น งูพิษ สายพันธุ์นี้ได้อย่างชัดเจนจากหัวที่มีความยาวและแบนเป็นพิเศษ

งูทับสมิงคลา

บริเวณหัวนั้นจะมีความกว้างที่ใกล้เคียงกับลำ ดวงตาพวกเขามีขนาดค่อนข้างเล็ก บริเวณตรงกลางจะเป็นสันรูปทรงสามเหลี่ยมขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยังคงสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน มีหางสั้นและบริเวณปลายหางจะเรียวเป็นพิเศษ ทั่วลำตัวจะมีเกล็ดปกคลุมอยู่ขนาดไม่ค่อยใหญ่สักเท่าไหร่ ยกเว้นแต่เกรดบนหัวที่จะเป็นแผ่นกว้างและมีผิวเรียบ และสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับงูสายพันธุ์นี้ก็คือสีสันและลวดลายของพวกเขาที่เหมือนกับม้าลายแบบแทบจะไม่มีผิดเพี้ยนนั่นก็คือสีดำสลับขาวนั่นเอง

งูทับสมิงคลา

ถึงแม้ว่าสีสันของพวกเขาจะดูเหมือนกับม้าลายที่น่ารักแต่อย่าเพิ่งเข้าไปชื่นชมพวกเขาใกล้ๆ เพราะพวกเขาเป็น งูมีพิษ ต่อระบบประสาท พิษของพวกเขานั้นจะเป็นโมเลกุลขนาดเล็กทำให้มันสามารถดูดซึมได้อย่างรวดเร็วเข้าไปตามกระแสเลือดของพวกเรา เมื่อถูกกัดจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ชัด หนังตาตก และทำให้หายใจไม่สะดวกจนถึงแก่ชีวิตในที่สุด 

งูทับสมิงคลา

งูอันตราย มักอาศัยอยู่ตามเนินเขาและที่ราบลุ่ม รวมไปถึงบริเวณที่เพาะปลูกทั้งหลายใกล้แหล่งน้ำลำห้วย กระจายอยู่ทั่วไปในบริเวณเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทยของเราที่สามารถพบได้ในทุกภาค พวกเขาเป็นสัตว์ที่ออกหากินตอนกลางคืนบริเวณใกล้กับแหล่งน้ำที่มีความชุ่มชื้น แต่ในช่วงเวลากลางวันมักจะหลบซ่อนตัวอยู่ภายในโพรงหรือใต้ขอนไม้

งูทับสมิงคลา

พวกเขากินอาหารเป็น สัตว์เลื้อยคลาน ขนาดเล็กอย่างเช่นจิ้งจก ตุ๊กแก และงูด้วยกัน นอกจากนี้ยังกินสัตว์สะเทือนน้ำสะเทือนบกอีกด้วย พวกเขามีนิสัยที่ค่อนข้างดุร้ายไม่น้อยดังนั้นหากเจอพวกเขาให้รีบตั้งสติและพยายามถอยห่างจากพวกเขาให้ได้มากที่สุด อย่าพยายามจับพวกเขาเองและโทรให้กู้ภัยมาจัดการพวกเขาจะดีที่สุด 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
สัตว์เลื้อยคลาน

จระเข้เคย์แมน สัตว์ที่เต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม 

ในบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายที่เต็มไปด้วยความน่ากลัวนั้นมีอยู่หนึ่งสายพันธุ์ที่เชื่อว่าทุกคนรู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นก็คือจระเข้นั่นเอง เรารู้จักพวกเขาในฐานะของ สัตว์นักล่า ที่มาพร้อมกับกรามที่แข็งแรง เขี้ยวที่คม วิธีการล่าเหยื่อที่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง สำหรับมนุษย์อย่างเราแล้วหากเดินป่าหรือแม้แต่เล่นน้ำคงไม่อยากจะเจอพวกเขาอย่างแน่นอน แต่ความเป็นจริงแล้วพวกเขานั้นมีหลากหลายสายพันธุ์และแต่ละสายพันธุ์ก็จะมีลักษณะภายนอกที่แตกต่างกันออกไป อย่างเช่นที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้ก็คือ จระเข้เคย์แมน นั่นเอง สำหรับใครที่สนใจไปดูกันเลย 

ทำความรู้จักกับ จระเข้เคย์แมน จระเข้ที่มีความเท่ไม่แพ้ใคร 

จระเข้เคย์แมน

จระเข้เคย์แมนที่เราจะพาทุกคนมาแนะนำกันในวันนี้เป็น สัตว์เลื้อยคลาน ขนาดกลาง ความยาวลำตัวของพวกเขาเมื่อโตเต็มวัยแล้วจะอยู่ที่ประมาณ 1.5 เมตรไปจนถึง 2.1 เมตรเลยทีเดียว ส่วนความยาวสูงสุดที่เคยพบสำหรับสัตว์สายพันธุ์นี้ก็คือ 3 เมตร ตัวเมียนั้นจะมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่าตัวผู้ พวกเขามีเกล็ดหนาปกคลุมทั่วลำตัวสีน้ำตาลไหม้สลับกับสีเหลือง

จระเข้เคย์แมน

มีจมูกและปากที่ยื่นยาวออกมาแต่เราจะไม่สามารถมองเห็นขากรรไกรของพวกเขาได้อย่างชัดเจนสักเท่าไหร่ ดวงตากลมโตสีเหลืองและมีตาดำเป็นทรงวงรีเหมือนกับงูทำให้พวกเขาดูน่ากลัวและน่าเกรงขามในเวลาเดียวกัน เมื่อตัวโตเต็มวัยพวกเขาจะมีสีที่เหลืองมากขึ้นกว่าเดิมแถมยังมีลายจุดให้เราได้เห็นอีกด้วย เราจะสามารถแยกพวกเขาออกจากจระเข้สายพันธุ์อื่นได้จากกระดูกบริเวณใต้เบ้าตาที่จะนูนเด่นขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด 

จระเข้เคย์แมน

พวกเขานั้นมีถิ่นอาศัยอยู่บริเวณทวีปอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง อเมริกาใต้รวมไปถึงทะเลแคริบเบียนในบางพื้นที่ ดังนั้นประเทศไทยของเราสามารถสบายใจได้เลยว่าเราจะไม่ได้เห็นพวกเขาในธรรมชาติอย่างแน่นอน อาหารของพวกเขานั้นจะเป็น สัตว์น้ำ ไม่ว่าจะเป็นปลา หอยทาก หรือแม้แต่แมลง พวกเขานั้นเป็น จระเข้น้ำจืด จึงมักจะพบเจอได้ตามแหล่งน้ำทั่วไปในธรรมชาติอย่างเช่นแม่น้ำ ลำธาร บ่อน้ำ หรือบริเวณที่มีน้ำกร่อย

จระเข้เคย์แมน

ในปัจจุบันพวกเขานั้นถูกจัดเป็นสิ่งมีชีวิตความเสี่ยงต่ำต่อการสูญพันธุ์ในสหภาพสากลว่าด้วยการอนุรักษ์สิ่งมีชีวิต โดยจัดอยู่ในอนุสัญญาไซเตสบัญชีหมายเลข 1 และ 2 ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นพวกเขาได้เช่นเดียวกันเวลาไปตามสถานที่จัดแสดงสัตว์ทั้งหลาย หากเราอยากจะลองพบพวกเขาตัวจริงดูสักครั้งก็สามารถลองไปหาพวกเขาตาม สวนสัตว์ ดูได้ 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
สัตว์เลื้อยคลาน

งูกะปะ งูอันตรายที่กระจายอยู่ทั่วทั้งประเทศไทย 

งูนั้นเป็นสัตว์ที่หลายคนรู้สึกหวาดกลัวแต่ความเป็นจริงแล้วก็มีทั้งสายพันธุ์ที่ไม่มีพิษแถมยังขี้อาย และสายพันธุ์ที่นอกจากจะมีพิษอันตรายแล้วยังดุเป็นอย่างมากอีกด้วย อย่างเช่นที่เราจะมาแนะนำกันในวันนี้นั่นก็คือ งูกะปะ นั่นเอง

พวกเขาเป็น งูมีพิษ ที่กระจายอยู่ทั่วทั้งในประเทศไทยไม่ว่าจะเป็นในเขตภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก รวมไปถึงภาคใต้ การเรียนรู้เกี่ยวกับ งูไทย นั้นจะช่วยให้คุณสามารถแยกได้ว่างูสายพันธุ์ไหนมีพิษและไม่มีพิษและยังช่วยให้คุณสามารถเอาตัวรอดจากอันตรายเหล่านี้ได้อีกด้วย เราจึงจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาให้มากขึ้นกัน 

ทำความรู้จักกับ งูกะปะ งูตัวร้ายที่อันตรายถึงชีวิต

งูกะปะ

งูกะปะเป็นงูที่อาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยเฉพาะในประเทศไทยของเรา ดังนั้นจึงเชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นพวกเขาด้วยตาของตัวเองมาแล้ว พวกเขานั้นมีความยาวเมื่อโตเต็มที่อยู่ที่ประมาณ 1 เมตร ถือว่าเป็นงูที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่สักเท่าไหร่ เราสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป็นพวกเขาจากหัวที่เป็นทรงสามเหลี่ยม มีลำคอเล็ก แต่ลำตัวจะอ้วนท้วม มีหางที่เรียวสั้น

งูกะปะ

ด้านหลังจะเป็นเหลี่ยมขึ้นมาคล้ายกับทรงหลังคาบ้าน ลำตัวนั้นมีตั้งแต่สีเทาน้ำตาลไปจนถึงสีเทาออกชมพู มีลวดลายเป็นสีน้ำตาลเข้มทรงสามเหลี่ยมบริเวณด้านหลังตลอดทั้งตัว พวกเขามีเกร็ดขนาดค่อนข้างใหญ่ และจะงอยปากพวกเขามักจะเชิดขึ้นด้านบน พวกเขาออกหากินในช่วงเวลาตั้งแต่พลบค่ำไปจนถึงกลางคืน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ฝนตกเพราะอากาศมีความชื้นสูง พวกเขามี พิษอันตราย และรุนแรงเป็นอย่างมากโดยเฉพาะต่อระบบเลือด ถูกจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับงูแมวเซา 

งูกะปะ

ดังนั้นหากเราเห็นพวกเขาขอแนะนำให้พยายามถอยห่างเอาไว้ให้ดี หากเป็นไปได้ให้หลีกเลี่ยงบริเวณที่เป็นดินปนทรายและมีเศษซากไม้หรือใบไม้ทับถมกันอยู่เนื่องจากเป็นบริเวณที่พวกเขาชอบอยู่อาศัย มันเป็นบริเวณที่พวกเขาสามารถหลบซ่อนตัวได้ดี นอกจากนี้ยังมักจะซ่อนตัวอยู่ในสวนปาล์มน้ำมันรวมไปถึงสวนยางพาราอีกด้วย

งูกะปะ

พวกเขานั้นค่อนข้างเชื่องช้าและเวลาตกใจจะขดตัวนิ่ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ งูกัด นั้นสามารถทำได้อย่างรวดเร็วจนคุณมองแทบไม่ทัน พวกเขานั้นกินสัตว์ขนาดเล็กอย่างเช่นนก หนู หรือ สัตว์เลื้อยคลาน สามารถออกไข่ได้ถึงครั้งละ 20 ฟอง เมื่อถูกกัดจะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดของเราถูกโจมตี บริเวณผิวหนังจะมีเลือดออกเป็นรอยสีคล้ำ มีเลือดออกตามอวัยวะและไรฟัน หลังจากนั้นจะความดันโลหิตต่ำจนเสียชีวิตในที่สุด อาการเจ็บปวดนั้นมีค่อนข้างน้อย แต่หลังจากถูกกัดครบ 1 ชั่วโมงบริเวณที่ถูกกัดจะมีเลือดไหลออกมาตลอดเวลา แขนขาจะบวมและมีสีคล้ำ ผิวหนังจะพองเป็นตุ่มน้ำใส หากไม่ได้รับการรักษาก็จะเกิดอาการเน่าตามมาในไม่กี่วัน 

อ่านบทความอื่นๆ:

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

มังกรโกโมโด สัตว์ประจำชาติอินโดนีเซียที่ไม่ธรรมดา 

สัตว์เลื้อยคลาน

ในประเทศไทยเชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับตัวเงินตัวทองหรือเหี้ยกันเป็นอย่างดี แต่ในประเทศอินโดนีเซียนั้นเขาอัพไซส์ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ซึ่งสัตว์ที่เรากำลังพูดถึงนี้ก็อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเจ้าตัวเงินตัวทองนี่แหละค่ะ แถมยังเป็นสัตว์ประจำชาติบ้านเขาด้วยนั่นก็คือ “มังกรโกโมโด” นั่นเอง แล้วเจ้าสัตว์ชนิดนี้จะมีเรื่องอะไรที่น่ารู้บ้าง วันนี้บทความของเรามีคำตอบค่ะ 

ลักษณะทั่วไปของมังกรโกโมโด 

มังกรโกโมโด คือ สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งจัดอยู่ในวงศ์เหี้ยเช่นเดียวกันกับตัวเงินตัวทองที่เราสามารถพบเห็นได้ในประเทศไทย โดยมังกรโกโมโดจะอาศัยอยู่บนเกาะโกโมโดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งลักษณะมังกรโกโมโดจะมีความเหมือนตัวเงินตัวทองเป๊ะ ๆ เพียงแต่จะตัวใหญ่และยาวกว่ามาก อีกทั้งมังกรโกโมโดนิสัยของมันยังมีความดุร้ายและเชี่ยวชาญในเรื่องการล่าสัตว์เป็นอาหาร บริเวณลำตัวของมันจะเป็นสีเทาค่อนไปทางดำ มีอุ้งเท้าใหญ่สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู

อาหารมังกรโกโมโดจะเป็นเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่มันสามารถล่ามาได้ ซึ่งความสามารถในการล่าสัตว์ของมันนั้นถือว่าไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว เพรามันสามารถโค่นสัตว์ใหญ่มามากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจระเข้ กวาง และวัวควาย เป็นต้น โดยวิธีในการจับเหยื่อเป็นอาหารนั้นมันจะคอยซุ่มอยู่อย่างใกล้ชิดและเจ้าจู่โจมโดยทันทีด้วยฟันอันแหลมคมของมัน ซึ่งน้ำลายของมันนั้นมีเชื้อโรคปะปนอยู่ถึง 50 ชนิด จึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าหนึ่งในเชื้อโรคนั้นจะไม่มีพิษที่สามารถทำให้สัตว์อื่นตายได้นั่นเอง

มังกรโกโมโด หรือ มังกรโคโมโด กันแน่

ไม่ว่าจะเป็นมังกรโกโมโดหรือมังกรโคโมโด ก็ถือว่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันค่ะ เพราะเมื่อเขียนเป็นชื่อภาษาอังกฤษแล้วจะได้ว่า KOMODO DRAGON ดังนั้นจึงสามารถอ่านได้ทั้งสองแบบเลย นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่สงสัยเกี่ยวกับขนาดของพวกมันว่าทำไมมีลักษณะรูปร่างต่าง ๆ ที่เหมือนกับตัวเงินตัวทองของบ้านเราทั้งหมดแต่ทำไมขนาดจึงใหญ่กว่ามากแล้วมันใหญ่แค่ไหนกันเชียว คำตอบก็คือขนาดมังกรโกโมโดนั้นใหญ่ได้ถึง 2-3 เมตร หรือ เกือบ 10 ฟุต กันเลยทีเดียว บวกกับน้ำหนักกว่า 90 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าใหญ่กว่าคนธรรมดาเข้าไปแล้วค่ะ 

มังกรโกโมโด เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในเกาะโกโมโด ประเทศอินโดนีเซีย โดยรูปร่างต่าง ๆ นั้นเช่นเดียวกันกับตัวเงินตัวทองของบ้านเราทุกประการ เพียงแต่ว่าสัตว์ชนิดนี้จะมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าและยาวกว่าเมื่อเทียบกับสัตว์ในวงศ์เหี้ยด้วยกัน แถมยังมีนิสัยดุร้ายอย่างมาก ดังนั้นหากเจอสัตว์ชนิดนี้เมื่อไหร่ควรอยู่ให้ห่างจากมันทันที

 

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน เจ้าลิ้นฟ้า หน้างู

สัตว์เลื้อยคลาน

จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน ( Blue-tongued skink , Blue- tongued lizard หรือ BTS ) เป็นสัตวเลื้อยคลานที่จัดอยู่ในวงศ์ SCINCIDAE และอยู่ในสกุล Tiliqua สามารถแบ่งออกได้ 8 ชนิด พบว่ามีการแพร่กระจายพันธุ์อยู่ในแถบประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาะทัสมาเนีย นิวกินี และอิเรียนจายา

ปัจจุบัน จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน หรือ บลูทั้งค์ , กิ้งก่าลิ้นฟ้า ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสุดรักสุดหวงของใครหลาย ๆ คนไปแล้ว โดยความนิยมในตัวเจ้าหน้างูนี้มีกระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเลี้ยงและสะสมสัตว์แปลก ในประเทศไทยเองก็เริ่มมีการนำมาเลี้ยงกันบ้างแล้วซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าดุของเรานั้นเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีเอกลักษณ์พาะตัว ไม่ดุร้าย สามารถจำกัดพื้นที่ในการเลี้ยงได้ง่าย และไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านนั่นเอง

ลักษณะทั่วไปและเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน

ลักษณะทั่วไปของจิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงินจะมีส่วนหัวขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายหัวของงู จนในบางครั้งหากมองเห็นเพียงส่วนหัวที่ยื่นออกมาก็อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูก็ได้ บลูทั้งค์มีเอกลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและน่าสนใจคือ ลิ้นสีฟ้า ซึ่งเกิดจากเม็ดสีเมลานิลจึงเป็นที่มาของชื่อ กิ้งก่าลิ้นฟ้า นั่นเอง โดยการมีลิ้นสีฟ้าสีสันแปลกตานั้นก็ทำให้มันกลายเป็นจุดสนใจของนักสะสมสัตว์แปลกทั่วโลก นอกจากจะมีหัวเหมือนงูขนาดใหญ่และมีลิ้นสีฟ้าแล้วยังมีเกล็ดตามตัวที่เรียบลื่นคล้ายงู สีสันลวดลายบนแผ่นหลังจะมีสีน้ำตาลอ่อนปนดำ ผิวช่วงท้องมีสีขาว บางสายพันธุ์มีสีดำ มีขาสั้น ๆ จำนวน 4 ขา มีนิ้วขนาดเล็ก 5 นิ้ว มีลำตัวทรงกลมอวบอ้วน และหางสั้นกลมดุ๊กดิ๊ก ช่วงปลายหางค่อนข้างเรียวเล็กน้อย

เมื่อเจอศัตรูหรือต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่คิดว่าเป็นอันตรายมักจะตั้งหลักสู้โดยการแล่บลิ้นสีฟ้าสวย ๆ ของมันออกมาข่มขู่ศัตรูผู้รุกราน ซึ่งเรียกว่า ปฏิกิริยา Deimatic display เป็นปฏิกิริยาที่มีในสัตว์ต่าง ๆ หลายชนิด รวมถึงการส่งเสียงขู่และพยายามพองตัวให้โตขึ้น เมื่อโดนการคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะยิ่งแลบลิ้นออกมาถี่มากขึ้นด้วยเช่นกัน 

สำหรับจิ้งเหลนสีน้ำเงินนิสัยนั้นเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า มันจะยังคงนิ่งเฉยหากยังไม่ได้รับอันตรายจากการถูกคุกคาม อาหารที่โปรดปรานจะเป็นจำพวกสัตว์ขนาดเล็กและพืชบางชนิด เช่น แมลง หนู หอยทาก หนอน และพืชบางชนิด โดยมักจะออกหากินในตอนกลางวัน กลางคืนมักจะหลบซ่อนตัวตามโขดหิน ซอกไม้ ฯลฯ 

การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์ของจิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน

จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงินจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุได้ 2 ปี และเมื่อเข้าสู่ช่วงสืบพันธุ์ตัวผู้จะมีพฤติกรรมแปลก ๆ นั่นก็คือ การกัดคอตัวเมียให้เป็นแผล โดยเมื่อมีการผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะให้ลูกได้ครั้งละประมาณ 6-8 ตัว เมื่อโตเต็มที่สามารถมีขนาดได้ถึง 45 เซนติเมตร

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเลี้ยงบลูทั้งค์ แนะนำให้เลี้ยงในตู้ที่มีขนาดประมาณ 30 แกลลอน ในอุณหภูมิที่ 75-90 ฟาเราไฮน์ ควรทำที่อยู่อาศัยคล้ายคลึงกับธรรมชาติ มีขอนไม้และต้นไม้ให้ซุกซ่อนตัวได้ด้วย และแม้ว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้มีความต้องการรังสียูวีที่น้อยกว่าสัตว์ประเภทกิ้งก่าแต่ผู้เลี้ยงก็ยังคงต้องหาหลอดยูวีมาใส่ไว้ให้ด้วยค่ะ

นอกจากการให้อาหารแล้วก็จะต้องเตรียมน้ำสะอาดเอาไว้ให้เป็นประจำทุกวัน ควรมีการเปลี่ยนน้ำใหม่ทุก ๆ วัน ในการให้อาหารควรให้ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผักผลไม้ปะปนกันไป หากต้องการความสะดวกก็สามารถนำอาหารกระป๋องของแมวมาให้สลับกับเนื้อสัตว์และอาหารอื่น ๆ ได้ อาทิตย์ละประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงสัตว์ประเภทไหนผู้เลี้ยงก็ควรหมั่นดูแลเอาใจใส่และเข้าใจในธรรมชาติของสัตว์ชนิดนั้น ๆ ให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะได้ดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณได้อย่างถูกต้องค่ะ

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค ตุ๊กแกหน้ามังกรแห่งเกาะมาดากัสการ์

สัตว์เลื้อยคลาน

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค ( Satanic leaf-tailed gecko ) หรือที่มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า ตุ๊กแกหางใบไม้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Uroplatus phantasticus จัดอยู่ในวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก ( GEKKONIDAE ) สกุล Uroplatus มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์เฉพาะในเกาะมาดากัสการ์เท่านั้น

ด้วยความแปลกของรูปร่างและลักษณะต่าง ๆ ทางกายภาพทำให้มีหลายคนมองว่าตุ๊กแกหางใบไม้มีหน้าตาดุร้ายคล้ายกับมังกรจนในโลกโซเชียลได้มีการตัดต่อจำลองภาพให้มีปีกซึ่งก็ยิ่งทำให้มีความเหมือนมังกรมากยิ่งขึ้นไปอีก ต่อมาก็ได้กลายเป็นสัตว์แปลกที่มีคนให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ลักษณะของตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค มีลักษณะรูปร่างที่บิดงอและค่อนข้างแบน มีเส้นเลือดโปดปูนตามผิวหนัง มีหางแบนสีน้ำตาลคล้ายใบไม้แห้ง ผิวหนังมีหลายสี เช่น สีเขียวเข้ม สีน้ำตาลใบไม้แห้งและมีจุดดำกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อเจริญเติบโตเต็มวัยตุ๊กแกหางใบไม้จะมีลำตัวยาวประมาณ 10-13 นิ้ว ดวงตากลมใหญ่สีน้ำตาล มีจุดสีแดงตรงกลาง ไม่มีเปลือกตาเปลือกตา แต่จะมีเพียงเยื่อใส ๆ หุ้มไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันดวงตา

ตุ๊กแกหางใบไม้สามารถจำแนกเพศผู้-เพศเมียได้จากสีผิวโดยตัวเมียจะมีลำตัวสีเทา ส่วนตัวผู้มีลำตัวสีน้ำตาลปนเหลืองและมีปุ่มสองปุ่มอยู่บริเวณโคนหางคล้ายไข่เลี้ยง หลังผสมพันธุ์ตัวเมียจะทำการฟักไข่โดยจะใช้เวลาฟักประมาณ 30 วัน และนานที่สุด คือ 90-120 วัน 

การใช้ชีวิตของตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิคบนเกาะมาดากัสการ์

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิคเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวจิ๋วที่มีความสามารถในเรื่องการพลางตัวได้อย่างแนบเนียนอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งการพลางตัวของเจ้าตุ๊กแกไซส์มินินี้จัดอยู่ในขั้นเทพเลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยความที่น้องมีขนาดรูปร่าง หน้าตา และสีสันที่กลืนไปกับต้นไม้ใบหญ้าและธรรมชาติมาก ( ตีเนียนเก่งชนิดที่กิ้งก่ายังต้องอาย ) จึงทำให้สังเกตได้ยากมาก ๆ 

ตุ๊กแกหางใบไม้อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกของเกาะมาดากัสการ์ โดยในช่วงเวลากลางวันมักจะพรางตัวและหลบซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ ซอกไม้ ใต้ใบไม้แห้ง เพื่อพักผ่อนเอาแรง พอถึงช่วงกลางคืนก็จะออกมาหาอาหารเหมือนกับตุ๊กแกสายพันธุ์อื่น ๆ อาหารที่ชื่นชอบจะเป็นจำพวกจิ้งเหลน แมลงสาบ แมงมุม และแมลงชนิดต่าง ๆ รวมถึงอาจกินสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวได้ด้วย เช่น หนูขนาดเล็ก หรือ นกขนาดเล็ก

ปัจจุบันตุ๊กแกหางใบไม้ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกทั่วโลก มีการเลี้ยงในตู้กระจกและปรับสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติ ตุ๊กแกนิสัยไม่ดุร้าย ไม่มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เลี้ยงง่าย ผู้เลี้ยงสามารถป้อนอาหารให้กินด้วยมือได้ และสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง โดยไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 30 วัน และนานที่สุด คือ 90-120 วัน 

 

 

ไฮโลไทย

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

ทำความรู้จักกับสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ ตะพาบหัวกบ เจ้าหัวกบที่ชอบกินกบเป็นอาหาร

สัตว์เลื้อยคลาน

     ตะพาบหัวกบ ( Southern New Guinea Giant Softshell Turtle ) หรือ ตะพาบน้ำหัวกบ , กริวดาว , กราวเขียว จัดอยู่ในประเภทสัตว์เลื้อยคลานที่อยู่ในวงศ์ ตะพาบหัวกบชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Pelochelys bibroni มีถิ่นอาศัยในแถบประเทศจีน อินเดีย อินโดจีน สุมาตรา มาเลเซีย อินโดนีเซีย พม่า ไทย ฯลฯ โดยในประเทศไทยสามารถพบได้เกือบทุกภาค เช่น ตาก กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช ฯลฯ

    ปัจจุบันได้มีการนำมาเพาะขยายพันธุ์กันมากขึ้นและนิยมนำไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยง และหากตะพาบตัวใดปรากฏว่าที่กระดองมีจุดสีเหลืองอ่อนเป็นวงกระจายอยู่ตามกระดอง โดยที่ไม่มีการเปลี่ยนลวดลายและสีสันไปตามวัยจะเรียกกันว่า "กริวดาว"  สามารถพบเจอได้เฉพาะในภาคกลางและภาคตะวันตกของไทย

ลักษณะรูปร่างหน้าตาและนิสัยของเจ้าตะพาบหัวกบ ที่เห็นนิ่ง ๆ แต่ที่จริงแล้วดุใช่เล่น

     ตะพาบหัวกบขนาดรูปร่างมีขนาดใหญ่ โดยจะมีขนาดกระดองยาวเฉลี่ยประมาณ 120 เซนติเมตร น้ำหนักตัวอาจมากถึง 50-90 กิโลกรัมเลยทีเดียว ตัวผู้จะมีลำตัวเรียวยาว-บาง หางยาว ตัวเมียจะลำตัวอ้วนใหญ่ กระดองสาก และหางสั้นกว่าตัวผู้ ลำตัวด้านบนสีน้ำตาลอมเขียวและด้านล่างสีจะอ่อนกว่าด้านบน มีตาขนาดเล็ก เท้าเป็นพังผืดติดกัน มีหัวขนาดเล็กและสั้นคล้ายหัวกบจึงเป็นที่มาของชื่อว่า ตะพาบหัวกบ นั่นเอง

     เมื่อยังเล็กเจ้าตะพาบน้ำหัวกบลักษณะทั่วไป คือ กระดองจะมีสีน้ำตาลอมเขียวและมีจุดเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วกระดองและจะจางลงเมื่อเริ่มเจริญเติบโตขึ้น ส่วนสีของตัวจะค่อย ๆ เข้มขึ้นและเปลี่ยนไปตามวัย ซึ่งปัจจุบันสามารถพบตะพาบชนิดนี้ได้น้อยมากด้วยเหตุนี้จึงถูกจัดให้เป็นสัตว์น้ำคุ้มครองของกรมประมง

     ส่วนนิสัยของตะพาบสายพันธุ์นี้มักจะมีความดุร้าย การเข้าใกล้หรือสัมผัสใกล้ชิดจึงควรต้องใช้ความระมัดระวังกันสักหน่อย ปกติมักฝังตัวอยู่นิ่ง ๆ ในพื้นทรายเพื่อรอให้เหยื่อผ่านมาเมื่อสบโอกาสก็จะพุ่งเข้าจู่โจม ซึ่งอาหารตะพาบหัวกบ ได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำต่าง ๆ อาทิเช่น กบ เขียด กุ้ง หอย ปู ปลา และพืชบางชนิด

วิถีการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติของตะพาบหัวกบ

     ตะพาบหัวกบปัจจุบันมีจำนวนลดน้อยลงเรื่อย ๆ โดยมีสถานภาพเป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ตามพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ 2535

     แม้ว่าจะเคยถูกพูดถึงว่าสูญพันธุ์มาแล้วในช่วงศตวรรษที่ 20 แต่ก็ได้มีการเร่งเพาะพันธุ์ขึ้นมาจนเริ่มมีประชากรเพิ่มขึ้นบ้างแล้ว การผสมพันธุ์และการวางไข่ของตะพาบน้ำสายพันธุ์นี้ตัวเมียจะเริ่มเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์และให้ไข่ได้เมื่อมีอายุประมาณปีเศษ และช่วงอายุที่สามารถให้ไข่ได้สมบูรณ์มากที่สุดคือ ช่วงที่มีอายุ 1.8 ปี ขึ้นไป พบว่ามันมักจะวางไข่ตามบริเวณริมแม่น้ำหรือแหล่งน้ำใกล้ ๆ กับที่อยู่อาศัยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนมีนาคม 

     ตะพาบน้ำเมื่อถึงฤดูวางไข่ตัวผู้และตัวเมียจะผสมพันธุ์กันในน้ำและตัวเมียจะขึ้นมาวางไข่บนบกตามเนินทรายที่เหมาะสม มันจะแอบขึ้นมาวางไข่ในช่วงกลางคืนโดยการใช้เท้าขุดหลุมขนาดพอเหมาะและเมื่อวางไข่เสร็จก็จะใช้เท้าเขี่ยดินมากลบฝังเอาไว้อย่างมิดชิดตามเดิม ตะพาบน้ำตัวเมีย 1 ตัว สามารถให้ไข่ได้ 5-7 ฟองต่อ 1 หลุม และตลอดฤดูการวางไข่สามารถให้ไข่ได้ 100-200 ฟอง จะใช้เวลาในการฟักไข่ประมาณ 90 วัน เมื่อลืมตาดูโลกเจ้าตัวเล็กจะมีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร และทันทีที่ลืมตาดูโลกพวกมันจะวิ่ง 4x100 ลงสู่แหล่งน้ำที่ใกล้ที่สุดทันทีตามสัญชาตญาณการเอาตัวรอดและเจริญเติบโตต่อไป

 

 

ฝากถอนไม่มีขั้นต่ำ

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

หอยทากไฟ Fire Snail หอยตัวใหญ่สีสันดุดันแต่นิสัยดันไม่ดุอย่างที่คิด

สัตว์เลื้อยคลาน

“ หอยทาก ” จัดเป็นสัตว์ประเภทไม่มีกระดูกสันหลังชนิดหนึ่ง เป็นสัตว์โบราณที่มีมานานตั้งแต่เมื่อ 400 ล้านปีที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันพบว่ามีหอยทากมากถึง 500 ชนิด

หอยทากไฟ( Fire Snail ) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Platymma Tweediei เป็นหอยทากที่อาศัยอยู่บนบก เรียกว่าหอยทากบก ถูกค้นพบเมื่อปี ค.ศ. 1938 ในบริเวณเทือกเขา Telom Valley มีการพบหอยทากไฟในคาบสมุทรมลายู

โดยธรรมชาติของหอยทากชนิดนี้จะต้องอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิเย็นและมีความชื้นในอากาศสูงเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอดได้ โดยอย่างน้อยจะต้องมีระดับความสูงอย่างน้อยที่ 1,000 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล ด้วยเหตุนี้ทำให้มีการพบหอยทากบกชนิดนี้ได้น้อยมาก จัดว่าเป็นสายพันธุ์ที่ค่อนข้างบอบบางมากเลยทีเดียว ช่างต่างกันกับขนาดตัวที่ใหญ่มากถึง 30 เซนติเมตรของมันเหลือเกิน โดยปกติเราจะเห็นหอยทากที่มีขนาดไม่ใหญ่มากและมีสีสันไม่ฉูดฉาดมากนัก ตรงกันข้ามกับหอยทากไฟซึ่งมีขนาดใหญ่กว่าปกติมากแถมยังมีสีสันที่มองดูแล้วคล้ายว่าจะเป็นสัตว์มีพิษอีกด้วย 

หอยทากไฟ มีลักษณะโดยทั่วไปไม่ต่างจากหอยทากชนิดอื่นๆสักเท่าไหร่นัก อาจจะมีข้อแตกต่างไปบ้างในส่วนของขนาด สีสัน และลักษณะถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งหอยทากแต่ละสายพันธุ์จะมีถิ่นที่อยู่แตกต่างกันออกไป ในส่วนของหอยทากดินอย่างเจ้าหอยทากไฟนั้น จะมีสีลำตัวและเปลือกเป็นสีดำเข้มสนิทและจะมีสีแดงเพลิงแซมขึ้นมาบริเวณช่วงท้อง มองดูแล้วเห็นสีแดง-ดำ ตัดกันชัดเจน ลำตัวมีความยาวประมาณ 7 เซนติเมตร โดยพบว่ามันสามารถมีขนาดลำตัวยาวได้มากถึง 30 เซนติเมตรเลยทีเดียว อาศัยกินอาหารจำพวกพืชสดและซากพืชเน่า แม้ว่าจะถูกมองว่าน่ากลัวแต่หอยทากไฟกลับเป็นสัตว์ที่ไม่มีพิษและไม่มีอันตรายอย่างที่คิด

ในปัจจุบันพบว่าหอยทากไฟมีจำนวนลดน้อยลงอย่างมาก อาจเป็นเพราะหอยทากไฟมีสีสันที่สวยงามโดดเด่น ตัวใหญ่ ไม่มีพิษ จึงทำให้มีคนนิยมนำมาเลี้ยงเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่คนที่ชอบเลี้ยงสัตว์แปลก จึงทำให้มีการเข้าไปบุกรุงทำลายถิ่นที่อยู่ของหอยทากบกชนิดนี้จนทำให้มันเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ อีกทั้งโลกมีสภาพอากาศที่ร้อนขึ้นทำให้หอยทากไฟที่สามารถอยู่ได้ในพื้นที่จำกัดตายได้ง่ายขึ้น และแม้ว่ามันจะพยายามอพยพหนีร้อนแต่เมื่อมันออกเดินทาง สัตยว์ที่แสนบอบบางและเชื่องช้าอย่างเจ้าตัวนี้จะมีโอกาสรอดชีวิตสักเท่าไหร่ ? ด้วยเหตุปัจจัยต่างๆเหล่านี้เองที่ทำให้เจ้าหอยทากไฟต้องตกอยู่ใสถานะใกล้สูญพันธุ์เข้าไปทุกที

 

 

 

เว็บสล็อตฝากถอนไม่มีขั้นต่ํา วอเลท

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

กิ้งก่าหนาม ปีศาจแห่งทะเลทรายไม่ได้ดุร้ายอย่างที่คิด

เมื่อพูดถึงสัตว์ที่มีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวแล้ว เรามักจะรู้สึกว่าเป็นสัตว์ที่จะต้องมีความดุร้ายหรืออาจจะมีพิษที่ร้ายแรงเหมือนหน้าตาภายนอกที่ปรากฎให้เห็น แต่ในบางครั้งสิ่งที่เห็นก็อาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด วันนี้เราจะมาพูดถึงสัตว์หน้าตาแปลกชนิดหนึ่งที่อาจจะยังไม่ได้เป็นที่รู่จักกันเท่าไหร่ นั่นก็คือ กิ้งก่าหนาม ( Thorny Devil ) หรือปีศาจหนามแห่งทะเลทราย มีชื่อเรียกท้องถิ่นว่า Mountain Devil หรือเรียกสั้นๆว่า Moloch เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับสกุล Moloch ลักษณะมีหนามอยู่รอบตัวรวมถึงมีหนามอยู่บนหัวคล้ายมีเขาโผล่ขึ้นมาทั้งสองข้างคล้ายๆปีศาจจึงเป็นที่มาของชื่อ ปีศาจหนาม นั่นเอง ส่วนใหญ่ผิวตามลำตัวจะมีสีน้ำตาล เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดอยู่ที่ประมาณ 20 เซนติเมตร มีอายุอยู่ได้ราวๆ 15-20 ปี โดยตัวเมียจะมีขนาดตัวใหญ่กว่าตัวผู้เล็กน้อย พบว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่ในแถบตอนกลางและตะวันตกของประเทศออสเตรเลียโดยมักจะอาศัยอยู่ตามทะเลทรายและป่าละเมาะ

กิ้งก่าหนาม หลบซ่อนตัวจากอันตรายด้วยวิธีไหน?

แม้ว่า กิ้งก่าหนาม จะมีหน้าตาและชื่อเรียกที่ดูน่ากลัวและดุร้ายแต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่แบบนั้นเลย มันเป็นสัตว์ไม่มีพิษที่ต้องอาศัยเอาตัวรอดด้วยการพรางตัวให้เข้ากับผืนทรายและสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเพื่อซ่อนตัวจากอันตรายต่างๆ โดยสีสันของจะค่อยๆซีดจางลงเมื่อเจออุณหภูมที่ร้อนขึ้นและจะมีสีที่เข้มขึ้นเมื่อเจออากาศหนาวเย็นลง

อาหารและการสืบพันธุ์

เจ้ากิ้งก่าหนามนี้นอกจากจะไม่ดุร้ายแล้วมันยังเป็นสัตว์ที่มีขนาดตัวไม่ใหญ่และไม่มีพิษอีกด้วย มันจึงชอบการกินมดและแมลงเล็กๆเป็นอาหารซึ่งมันสามารถกินมดได้เป็นพันตัวต่อวันเลยทีเดียว นอกจากนี้ธรรมชาติยังสร้างให้มันมีเกล็ดคล้ายกับลักษณะของเกล็ดมังกร คือมีรูปทรงกรวยมีความแหลมคมเอาไว้ใช้ป้องกันตัวจากศัตรูต่างๆที่อาจจะเข้าจู่โจมมันได้ทุกเมื่อ และมันยังมีวิธีการดื่มน้ำที่แปลกมากเลยก็คือมันสามารถใช้เกล็ดที่ตัวเก็บน้ำผ่านผิวหนังแทนการดื่มน้ำได้อีกด้วย เรียกว่าเป็นการเก็บน้ำไว้ใต้เกล็ดแล้วให้ผิวค่อยๆดูดซึมเอาน้ำเข้าสู่ร่างกายแทนการดื่มน้ำแบบปกตินั่นเอง นอกจากนี้มันจะมีการวางไข่ในช่วงเดือนกันยายน – ธันวามคม ของทุกปี โดยจะมีการขุดโพรงลึกราวๆ 30 เซนติเมตร เตรียมเอาไว้เพื่อวางไข่ และในการวางไข่แต่ละครั้งก็จะมีไข่ฟักประมาณ 3-10 ฟองขึ้นไป ซึ่งมันจะใช้เวลาในการฟักไข่ 3- 4 เดือน จากนั้นก็จะมีตัวอ่อนฟักออกมาลืมตาดูโลก โดยจะมีแม่คอยดูแลลูกในช่วงวัยอนุบาล เมื่อแข็งแรงแล้วก็จะปล่อยให้ลูกดูแลตัวเองและออกไปสู่โลกกว้างต่อไป

 

Categories
สัตว์เลื้อยคลาน

เขียดงู เจ้าจะเป็นงู หรือจะเป็นเขียดกันแน่นะ

สัตว์เลื้อยคลาน

เขียดงู เจ้าจะเป็นงู หรือเป็นเขียดกันแน่

ในตอนนี้เราจะมาแนะนำสัตว์แปลกที่มีรูปร่างคล้ายงู แต่ความจริงแล้วคือเขียดชนิดหนึ่ง ที่เราเรียกว่า เขียดงู แต่หากคุณอยากรู้ว่าตัวไหนเป็นงู ตัวไหนเป็นเขียด คุณต้องอ่านต่อไปจนจบเพราะเรากำลังจะบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าเขียดงู ใน เขียดงู เจ้าเป็นงู หรือเป็นเขียด ได้ที่นี่

ลักษณะเขียดงู

เขียดงู เป็นสัตว์ครึ่งบก ครึ่งน้ำในตระกูลเขียด ชอบอาศัยอยู่ในบริเวณที่ชื้นแชะ หรือตามริมแม่น้ำลำธาร และใต้ดิน หากเราดูเผินๆ พวกมันมีลักษณะที่คล้ายงูมาก แต่ถ้าคุณต้องเผชิญหน้ากับมัน อย่าเพิ่งตีหรือทำอันตรายมันนะ เพราะเขียดงูไม่ได้เป็นสัตว์มีพิษ หรือ จะทำอันตรายคุณได้ ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้นก็คือเขียดงูเป็นสัตว์ที่มีชีวิตมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ตั้งแต่จุลลาสสิค ลักษณะแตกต่างที่ทำให้พวกมันไม่เหมือนงูก็คือ พวกมันมีตาที่เล็กมากจนเราแทบจะมองไม่เห็น เขียดงูจะไม่มีเกล็ด มีลำตัวเป็นเมือกลื่นคล้ายปลาไหล

เขียดงูจะไม่มีเกล็ด มีลำตัวเป็นเมือกลื่นคล้ายปลาไหล

เราสามารถพบเขียดงูได้กว่า 200 ชนิดในบริเวณภูมิภาคเขตร้อน ลำตัวของพวกมันจะเรียวยาว มีลักษณะเป็นปล้อง มีหางที่เล็กมากจนเราแทบจะสังเกตุไม่เห็น เขียดงูส่วนใหญ่ใช้ ตา จมูก หนวด รวมถึงช่องเปิดตรงบริเวณศรีษะของบางสายพันธุ์เป็นประสาทสัมผัส

ลูกเขียดงู โตมาได้ด้วยความเสียสละของแม่

เขียดงูบางชนิดจะออกลูกเป็นไข่ แต่เขียดงูส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว

แม้ว่าเขียดงูบางชนิดจะออกลูกเป็นไข่ แต่เขียดงูส่วนใหญ่ออกลูกเป็นตัว โดยตัวอ่อนของเขียดงูจะกินอาหาร และได้รับสารอาหารจากท่อลำไข่ และเมื่อลูกเขียดงู คลอดออกมาพวกมันจะยังต้องอาศัยอยู่กับตัวแม่ เพราะแม่เขียดงูจะต้องมีหน้าที่เลี้ยงดูลูกโดยใช้เนื้อของตัวมันเอง เนื่องจากลูกเขียดงูที่คลอดออกมาใหม่ๆ จะมีเฉพาะฟันน้ำนมที่ไม่แข็งแรง ดังนั้นลูกเขียดงูจะต้องกัดแทะเนื้อหนังของตัวแม่เพื่อเป็นอาหารในการเติบโต จนกว่าฟันน้ำนมของพวกมันจะหลุดไป และมีฟันแท้ที่แข็งแรงกว่าขึ้นมาแทนเพื่อที่จะอาหารเองได้ ทำให้แม่เขียดงูต้องเสียสละและยอมเจ็บ ให้ลูกๆ แทะผิวหนังของตัวเอง อีกทั้งยังต้องมีหน้าที่ในการสร้างผิวหนังของตัวเองขึ้นมาเรื่อย เพื่อให้เพียงพอต่อการเลี้ยงดูลูกๆ ของมัน

คำว่า แม่ ไม่ว่าจะเป็นคน หรือสัตว์ ก็ล้วนแล้วแต่จะต้องเสียสละเพื่อลูกทั้งนั้น มนุษย์ อาจจะต้องใช้เลือดจากอก หรือที่เรียกว่าน้ำนมในการเลี้ยงลูก แต่สัตว์อย่างเขียดงู ก็ต้องเสียสละผิวหนังของตัวเองในการเลี้ยงดูลูกเขียดงูเช่นกัน

เขียดงู ถึงแม้จะมีหน้าตาคล้ายงู แต่พวกมันไม่มีพิษ หากเราต้องเผชิญหน้ากับพวกมันโดยบังเอิญ เราก็ไม่ควรจะต้องทำร้ายมัน เพราะเขียดงูไม่มีอะไรที่จะสามารถทำร้ายเราได้เช่นกัน