Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ แนะนำ

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง ปลาอะไรลายคล้ายผึ้ง

ความรู้

     ในเมื่อผึ้งเป็นแมลงที่สามารถบินได้และมีลวดลายเป็นสีเหลืองดำ มีหรือที่สัตว์บนโลกอย่างปลาจะมีบ้างไม่ได้ ซึ่งเรากำลังพูดถึง “ปลาสร้อยน้ำผึ้ง” อยู่นั่นเองค่ะ เพราะปลาชนิดนี้เขามีลวดลายที่คล้ายคลึงกับผึ้งมาก เพียงแต่บินได้เท่านั้นเอง แล้วปลาชนิดนี้จะมีอะไรน่าสนใจและเรื่องน่ารู้อะไรบ้างนั้น แวะมาอ่านที่บทความนี้ได้เลยค่ะ

ลักษณะทั่วไปของปลาสร้อยน้ำผึ้ง

     ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นปลาน้ำจืดสายพันธุ์หนึ่งที่เป็นที่นิยมในการนำไปทำเป็นอาหารและน้ำปลาในประเทศไทย โดยปลาสร้อยน้ำผึ้ง ที่อยู่อาศัยในประเทศไทยสามารถพบได้ในทุกภาคไปจนถึงประเทศมาเลเซีย ส่วนในต่างประเทศนั้นจะพบบริเวณทางตอนใต้ของประเทศจีน โดยปลาสร้อยน้ำผึ้งลักษณะของมันหากเป็นสายพันธุ์ปกติจะมีสีเช่นเดียวกับผึ้ง โดยบริเวณลำตัวจะยาวคล้ายทรงกระบอก มีสีเหลืองทั่วตัวเสียส่วนใหญ่ และจะมีจุดแต้มหรือลายแต้มที่เป็นสีดำอยู่ทั่วตัว จึงเรียกปลาชนิดนี้ว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งนั่นเอง

     ซึ่งก็ยังมีปลาสร้อยน้ำผึ้งที่มีการดัดแปลงสายพันธุ์อีกด้วย เช่น ปลาสร้อยน้ำผึ้งเผือก ที่บริเวณลำตัวจะเป็นสีเหลืองปนขาวเผือกนั่นเอง อาหารปลาสร้อยน้ำผึ้งส่วนใหญ่จะเป็นอาหารที่สามารถพบได้บริเวณแหล่งน้ำที่มันอาศัยอยู่ เช่น ตะไคร่น้ำ และซากพืชซากสัตว์ที่หล่นลงไปในแม่น้ำในบริเวณที่พวกมันอาศัยอยู่ เป็นต้น

ปลาสร้อยน้ำผึ้ง มีหลายชื่อนะรู้ยัง

     ชื่อที่เรารู้จักกันของปลาชนิดนี้ก็คือ “ปลาสร้อยน้ำผึ้ง” แต่ความเป็นจริงแล้วพวกมันยังมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อเลยค่ะ ซึ่งแต่ละชื่อเรียกนั้นก็จะขึ้นอยู่กับบริเวณที่มันอยู่อาศัยโดยในประเทศไทยก็มีอยู่ทุกภาคชื่อของพวกมันจึงเปลี่ยนไปตามภาคนั่นเอง เช่น ปลาผึ้ง , ปลาน้ำผึ้ง , หรือปลาปักษ์ใต้ เป็นต้น และหากใครที่อยากเลี้ยงปลาสร้อยน้ำผึ้งนั้นก็สามารถหาซื้อได้ง่าย ๆ ตามร้านขายปลาทั่วไป โดยปลาสร้อยน้ำผึ้งราคาของมันนั้นจะไม่สูงมาก อยู่ที่ประมาณ 100 บาท ขึ้นไปเท่านั้น

บทสรุป 

     ปลาสร้อยน้ำผึ้ง เป็นปลาน้ำจืดชนิดหนึ่งที่สามารถพบได้ทุกภาคในประเทศไทย ซึ่งก็มีการซื้อขายปลาชนิดนี้กันเป็นเรื่องธรรมดา โดยลวดลายของมันจะมีความคล้ายคลึงกับผึ้งนั่นก็คือ จะเป็นสีเหลืองที่ถูกแต่งแต้มด้วยสีดำ เราจึงรียกมันว่าปลาสร้อยน้ำผึ้งนั่นเอง

 

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

มังกรโกโมโด สัตว์ประจำชาติอินโดนีเซียที่ไม่ธรรมดา 

ความรู้

ในประเทศไทยเชื่อว่าทุกคนคงจะคุ้นเคยกับตัวเงินตัวทองหรือเหี้ยกันเป็นอย่างดี แต่ในประเทศอินโดนีเซียนั้นเขาอัพไซส์ให้ใหญ่ขึ้นไปอีก ซึ่งสัตว์ที่เรากำลังพูดถึงนี้ก็อยู่ในตระกูลเดียวกันกับเจ้าตัวเงินตัวทองนี่แหละค่ะ แถมยังเป็นสัตว์ประจำชาติบ้านเขาด้วยนั่นก็คือ “มังกรโกโมโด” นั่นเอง แล้วเจ้าสัตว์ชนิดนี้จะมีเรื่องอะไรที่น่ารู้บ้าง วันนี้บทความของเรามีคำตอบค่ะ 

ลักษณะทั่วไปของมังกรโกโมโด 

มังกรโกโมโด คือ สัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่งจัดอยู่ในวงศ์เหี้ยเช่นเดียวกันกับตัวเงินตัวทองที่เราสามารถพบเห็นได้ในประเทศไทย โดยมังกรโกโมโดจะอาศัยอยู่บนเกาะโกโมโดในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งลักษณะมังกรโกโมโดจะมีความเหมือนตัวเงินตัวทองเป๊ะ ๆ เพียงแต่จะตัวใหญ่และยาวกว่ามาก อีกทั้งมังกรโกโมโดนิสัยของมันยังมีความดุร้ายและเชี่ยวชาญในเรื่องการล่าสัตว์เป็นอาหาร บริเวณลำตัวของมันจะเป็นสีเทาค่อนไปทางดำ มีอุ้งเท้าใหญ่สามารถวิ่งได้อย่างรวดเร็วเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู

อาหารมังกรโกโมโดจะเป็นเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ที่มันสามารถล่ามาได้ ซึ่งความสามารถในการล่าสัตว์ของมันนั้นถือว่าไม่เป็นสองรองใครเลยทีเดียว เพรามันสามารถโค่นสัตว์ใหญ่มามากมายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจระเข้ กวาง และวัวควาย เป็นต้น โดยวิธีในการจับเหยื่อเป็นอาหารนั้นมันจะคอยซุ่มอยู่อย่างใกล้ชิดและเจ้าจู่โจมโดยทันทีด้วยฟันอันแหลมคมของมัน ซึ่งน้ำลายของมันนั้นมีเชื้อโรคปะปนอยู่ถึง 50 ชนิด จึงไม่สามารถรับประกันได้ว่าหนึ่งในเชื้อโรคนั้นจะไม่มีพิษที่สามารถทำให้สัตว์อื่นตายได้นั่นเอง

มังกรโกโมโด หรือ มังกรโคโมโด กันแน่

ไม่ว่าจะเป็นมังกรโกโมโดหรือมังกรโคโมโด ก็ถือว่าเป็นสัตว์ชนิดเดียวกันค่ะ เพราะเมื่อเขียนเป็นชื่อภาษาอังกฤษแล้วจะได้ว่า KOMODO DRAGON ดังนั้นจึงสามารถอ่านได้ทั้งสองแบบเลย นอกจากนี้ยังมีหลายคนที่สงสัยเกี่ยวกับขนาดของพวกมันว่าทำไมมีลักษณะรูปร่างต่าง ๆ ที่เหมือนกับตัวเงินตัวทองของบ้านเราทั้งหมดแต่ทำไมขนาดจึงใหญ่กว่ามากแล้วมันใหญ่แค่ไหนกันเชียว คำตอบก็คือขนาดมังกรโกโมโดนั้นใหญ่ได้ถึง 2-3 เมตร หรือ เกือบ 10 ฟุต กันเลยทีเดียว บวกกับน้ำหนักกว่า 90 กิโลกรัม ซึ่งก็ถือว่าใหญ่กว่าคนธรรมดาเข้าไปแล้วค่ะ 

มังกรโกโมโด เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง อาศัยอยู่ในเกาะโกโมโด ประเทศอินโดนีเซีย โดยรูปร่างต่าง ๆ นั้นเช่นเดียวกันกับตัวเงินตัวทองของบ้านเราทุกประการ เพียงแต่ว่าสัตว์ชนิดนี้จะมีรูปร่างที่ใหญ่กว่าและยาวกว่าเมื่อเทียบกับสัตว์ในวงศ์เหี้ยด้วยกัน แถมยังมีนิสัยดุร้ายอย่างมาก ดังนั้นหากเจอสัตว์ชนิดนี้เมื่อไหร่ควรอยู่ให้ห่างจากมันทันที

 

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์ปีก

ไก่งวง สัตว์สำคัญในวันขอบคุณพระเจ้าที่ขาดไม่ได้

ความรู้

       เชื่อว่าหลาย ๆ คน คงจะรู้จักกับ “ไก่งวง” เป็นอย่างดี และมีความสำคัญมาก ๆ ในวันขอบคุณพระเจ้าของศาสนาคริสต์ ดังนั้นวันนี้เราจึงมีความรู้ดี ๆ รวมถึงเรื่องราวน่ารู้ของเจ้าไก่ชนิดนี้มาฝากกันค่ะ จะมีเรื่องอะไรน่ารู้บ้าง ไปดูพร้อม ๆ กันเลย

ไก่งวง คืออะไร มีลักษณะอย่างไร

       ไก่งวง คือ สัตว์ปีกที่มีขนาดใหญ่จัดอยู่ในประเภทเดียวกันกับนกต่าง ๆ เพียงแต่เป็นนกชนิดที่ไม่สามารถบินได้ โดยไก่งวงจะเป็นไก่มีขนาดตัวใหญ่กว่าไก่ที่เราเห็นกันทั่วไปอยู่พอสมควร โดยลักษณะไก่งวง จะเป็นนกที่มีปากสั้นมีความเรียวและบาง จะมีขนแค่ช่วงลำตัวเพราะบริเวณตั้งแต่หัวลงมาจนถึงส่วนคอนั้นจะเป็นหนังทั้งหมด ซึ่งจะมีความเหี่ยวย่นคล้ายกับหูด ส่วนหางสามารถแพนได้เช่นเดียวกับนกยูง ซึ่งจะมีขนหางอยู่ประมาณ 28-30 เส้น อีกทั้งตัวผู้และตัวเมียจะมีความแตกต่างกันบริเวณเดือย ซึ่งเป็นส่วนที่ตัวเมียไม่มีนั่นเอง

       นิสัยไก่งวงจะเป็นสัตว์ที่ชอบในการเดินจิกอาหารที่มีสีเขียว ซึ่งอาหารไก่งวงก็จะเป็นพวกพืชผักที่มีสีเขียวทั้งหลาย โดยเฉพาะผักตบชวาหรือหญ้าเนเปียร์สับที่เป็นอาหารของสัตว์หลายชนิดนั่นเอง ซึ่งน้ำหนักของไก่งวงตัวผู้จะมีหนักถึง 50-60 ปอนด์กันเลยทีเดียว ซึ่งก็ถือว่าเป็นขนาดที่หนักมากเมื่อเทียบกับไก่ทั่วไป 

ทำไมวันขอบคุณพระเจ้าต้องกินไก่งวง

       ในอเมริกาไก่งวงถูกใช้เป็นอาหารในวันขอบคุณพระเจ้า ที่เรารู้จักกันในชื่อของ “TURKEY” หรือไก่งวง วันขอบคุณพระเจ้า โดยจุดเริ่มต้นของการกินไก่งวงในวันนี้นั้นเริ่มจาก พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ที่พระองค์นั้นทรง ชื่นชอบการทานไก่งวงในวันคริสต์มาสมาก ๆ แต่ต่อมาเมื่อถึงยุคของพระธิดาของพระองค์คือควีนอลิซซาเบธ ทรงชอบการทานห่านมากกว่า แต่การทานไก่ชนิดนี้ในวันคริสต์มาสก็ยังคงสืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ดังนั้นในวัน THANKSGIVING DAY หรือ วันขอบคุณพระเจ้าชาวคริสต์จึงนิยมกินไก่งวงกันนั่นเอง ซึ่งราคาไก่งวงในประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 1,000 บาท เป็นต้นไป 

บทสรุป 

       ไก่งวง เป็นสัตว์ตระกูลเดียวกันกับนก แต่จัดเป็นนกที่ไม่มีปีก ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่าไก่ธรรมดาทั่วไปอยู่พอสมควร โดยนิยมนำไก่งวงไปใช้ในวันสำคัญทางศาสนาคริสต์นั่นก็คือวันขอบคุณพระเจ้านั่นเอง 

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์บก

ลิงบาบูน ลิงสุดโหด ที่ไม่ได้น่ารักอย่างที่คุณคิด

ความรู้

      ลิง สัตว์สี่ขาที่เชื่อว่ามนุษย์นั้นล้วนมีวิวัฒนาการมาจากพวกมัน ซึ่งลิงนั้นมีความสามารถในการยืนหรือเดินสองขาได้เช่นเดียวกันกับมนุษย์ แถมยังมีอย่างหลากหลายสายพันธุ์กันเลยทีเดียว วันนี้เราจึงมีเกร็ดความรู้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากลิงสายพันธุ์หนึ่งที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนจะต้องรู้จักกันจากเรื่อง LION KING นั่นก็คือ “ลิงบาบูน” นั่นเอง จะมีเรื่องอะไรน่ารู้เกี่ยวกับลิงสายพันธุ์นี้บ้าง ไปดูพร้อม ๆ กันเลยค่ะ 

ลักษณะทั่วไปของลิงบาบูน

      ลิงบาบูน คือ ลิงที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 4 ของโลก โดยลิงบาบูน ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า PAPIO ซึ่งลิงบาบูนจะมีความพิเศษตรงที่มีขาหน้าและขาหลังที่มีความยาวเท่ากันจึงสามารถเดินได้พร้อมกันทั้งสี่ขาเช่นเดียวกับกอริลล่า อีกทั้งยังมีความคล่องแคล่วว่องไวไม่แพ้ลิงสายพันธุ์อื่นเลย ลิงบาบูน นิสัยของมันนั้นจะมีความดุร้าย และก้าวร้าว เนื่องจากอาหารลิงบาบูนที่กินเป็นอาหารนั้นจะเป็นจำพวกเนื้อ ความดุร้ายและก้าวร้าวจึงเป็นนิสัยที่ติดตัวมันมานั่นเอง

      ในปี 2563 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานจากสื่อข่าวในต่างประเทศว่า มีเจ้าหน้าที่พบเห็นลิงบาบูน กินลูกสิงโต ในสวนสัตว์แห่งหนึ่งบริเวณแถบทางตะวันออกเฉียงเหนือของแอฟริกาใต้ โดยก่อนที่มันจะนำลูกสิงโตขึ้นไปบนต้นไม้นั้นพบว่าลิงบาบูนและลูกสิงโตตัวนี้มีการต่อสู้กันจนลูกสิงโตทนไม่ไหวเนื่องจากร่างกายไม่แข็งแรง ดังนั้นมันจึงกลายเป็นอาหารของลิงไปโดยปริยาย ซึ่งหากใครที่เคยเห็นภาพนี้ก็อาจมองว่าคล้ายกับฉากหนึ่งในภาพยนตร์เรื่อง LION KING แต่ความเป็นจริงมันโหดร้ายยิ่งกว่านั้น

ลิงบาบูน ลิงใหญ่จอมดุร้าย ที่ไม่ควรเข้าใกล้เป็นอันขาด

      เนื่องจากลิงบาบูนเป็นสัตว์ดุร้าย การซื้อขายลิงชนิดนี้จึงไม่เป็นที่นิยมนัก เนื่องจากอาจเกิดอันตรายต่อตัวผู้ซื้อได้ อย่างไรก็ตามลิงชนิดนี้นั้นก็มีอย่างหลากหลายสายพันธุ์ ไม่ว่าจะเป็น ลิงบาบูน แก้มแดง , ลิงบาบูน คาชัคม่า , และลิงบาบูน แอฟริกา ที่ขึ้นชื่อว่าโครตโหด ถ้าใครประจันหน้ากับมันระวังจะเจ็บตัว เพราะขนาดลูกสิงโตที่ขึ้นชื่อว่าเป็นราชาเจ้าป่ายังไม่วายกลายเป็นอาหารของเจ้าลิง แล้วคนแบบเราที่วิ่งยังไม่ทันลิงก็คงจะไม่รอดเช่นเดียวกัน

      ลิงบาบูน ส่วนใหญ่จะมีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบแอฟริกาใต้ ซึ่งจัดว่าเป็นลิงที่มีทั้งความใหญ่และความดุร้ายเคียงคู่กันมาอย่างน่าเหลือเชื่อ ดังนั้นหากใครที่เดินป่าแล้วดันไปเจอกับลิงชนิดนี้เข้า ก็ควรระวังตัวให้ดี อย่าไปทำให้มันโกรธ มิเช่นนั้นอาจเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันขึ้นกับตัวคุณก็เป็นได้

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน เจ้าลิ้นฟ้า หน้างู

ความรู้

จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน ( Blue-tongued skink , Blue- tongued lizard หรือ BTS ) เป็นสัตวเลื้อยคลานที่จัดอยู่ในวงศ์ SCINCIDAE และอยู่ในสกุล Tiliqua สามารถแบ่งออกได้ 8 ชนิด พบว่ามีการแพร่กระจายพันธุ์อยู่ในแถบประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย เกาะทัสมาเนีย นิวกินี และอิเรียนจายา

ปัจจุบัน จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน หรือ บลูทั้งค์ , กิ้งก่าลิ้นฟ้า ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสุดรักสุดหวงของใครหลาย ๆ คนไปแล้ว โดยความนิยมในตัวเจ้าหน้างูนี้มีกระจายไปทั่วโลกโดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเลี้ยงและสะสมสัตว์แปลก ในประเทศไทยเองก็เริ่มมีการนำมาเลี้ยงกันบ้างแล้วซึ่งเหตุผลส่วนหนึ่งก็อาจจะเป็นเพราะเจ้าหน้าดุของเรานั้นเป็นสัตว์เลื้อยคลานที่มีเอกลักษณ์พาะตัว ไม่ดุร้าย สามารถจำกัดพื้นที่ในการเลี้ยงได้ง่าย และไม่ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนบ้านนั่นเอง

ลักษณะทั่วไปและเรื่องน่ารู้เกี่ยวกับจิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน

ลักษณะทั่วไปของจิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงินจะมีส่วนหัวขนาดใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายหัวของงู จนในบางครั้งหากมองเห็นเพียงส่วนหัวที่ยื่นออกมาก็อาจจะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นงูก็ได้ บลูทั้งค์มีเอกลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นและน่าสนใจคือ ลิ้นสีฟ้า ซึ่งเกิดจากเม็ดสีเมลานิลจึงเป็นที่มาของชื่อ กิ้งก่าลิ้นฟ้า นั่นเอง โดยการมีลิ้นสีฟ้าสีสันแปลกตานั้นก็ทำให้มันกลายเป็นจุดสนใจของนักสะสมสัตว์แปลกทั่วโลก นอกจากจะมีหัวเหมือนงูขนาดใหญ่และมีลิ้นสีฟ้าแล้วยังมีเกล็ดตามตัวที่เรียบลื่นคล้ายงู สีสันลวดลายบนแผ่นหลังจะมีสีน้ำตาลอ่อนปนดำ ผิวช่วงท้องมีสีขาว บางสายพันธุ์มีสีดำ มีขาสั้น ๆ จำนวน 4 ขา มีนิ้วขนาดเล็ก 5 นิ้ว มีลำตัวทรงกลมอวบอ้วน และหางสั้นกลมดุ๊กดิ๊ก ช่วงปลายหางค่อนข้างเรียวเล็กน้อย

เมื่อเจอศัตรูหรือต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่คิดว่าเป็นอันตรายมักจะตั้งหลักสู้โดยการแล่บลิ้นสีฟ้าสวย ๆ ของมันออกมาข่มขู่ศัตรูผู้รุกราน ซึ่งเรียกว่า ปฏิกิริยา Deimatic display เป็นปฏิกิริยาที่มีในสัตว์ต่าง ๆ หลายชนิด รวมถึงการส่งเสียงขู่และพยายามพองตัวให้โตขึ้น เมื่อโดนการคุกคามมากขึ้นเรื่อย ๆ มันก็จะยิ่งแลบลิ้นออกมาถี่มากขึ้นด้วยเช่นกัน 

สำหรับจิ้งเหลนสีน้ำเงินนิสัยนั้นเป็นสัตว์ที่เคลื่อนไหวช้า มันจะยังคงนิ่งเฉยหากยังไม่ได้รับอันตรายจากการถูกคุกคาม อาหารที่โปรดปรานจะเป็นจำพวกสัตว์ขนาดเล็กและพืชบางชนิด เช่น แมลง หนู หอยทาก หนอน และพืชบางชนิด โดยมักจะออกหากินในตอนกลางวัน กลางคืนมักจะหลบซ่อนตัวตามโขดหิน ซอกไม้ ฯลฯ 

การสืบพันธุ์และการขยายพันธุ์ของจิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงิน

จิ้งเหลนลิ้นสีน้ำเงินจะเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์เมื่อมีอายุได้ 2 ปี และเมื่อเข้าสู่ช่วงสืบพันธุ์ตัวผู้จะมีพฤติกรรมแปลก ๆ นั่นก็คือ การกัดคอตัวเมียให้เป็นแผล โดยเมื่อมีการผสมพันธุ์แล้วตัวเมียจะให้ลูกได้ครั้งละประมาณ 6-8 ตัว เมื่อโตเต็มที่สามารถมีขนาดได้ถึง 45 เซนติเมตร

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเลี้ยงบลูทั้งค์ แนะนำให้เลี้ยงในตู้ที่มีขนาดประมาณ 30 แกลลอน ในอุณหภูมิที่ 75-90 ฟาเราไฮน์ ควรทำที่อยู่อาศัยคล้ายคลึงกับธรรมชาติ มีขอนไม้และต้นไม้ให้ซุกซ่อนตัวได้ด้วย และแม้ว่าสัตว์เลื้อยคลานชนิดนี้มีความต้องการรังสียูวีที่น้อยกว่าสัตว์ประเภทกิ้งก่าแต่ผู้เลี้ยงก็ยังคงต้องหาหลอดยูวีมาใส่ไว้ให้ด้วยค่ะ

นอกจากการให้อาหารแล้วก็จะต้องเตรียมน้ำสะอาดเอาไว้ให้เป็นประจำทุกวัน ควรมีการเปลี่ยนน้ำใหม่ทุก ๆ วัน ในการให้อาหารควรให้ทั้งเนื้อสัตว์และพืชผักผลไม้ปะปนกันไป หากต้องการความสะดวกก็สามารถนำอาหารกระป๋องของแมวมาให้สลับกับเนื้อสัตว์และอาหารอื่น ๆ ได้ อาทิตย์ละประมาณ 3-4 ครั้ง แต่ไม่ว่าจะเลี้ยงสัตว์ประเภทไหนผู้เลี้ยงก็ควรหมั่นดูแลเอาใจใส่และเข้าใจในธรรมชาติของสัตว์ชนิดนั้น ๆ ให้ถ่องแท้ เพื่อที่จะได้ดูแลสัตว์เลี้ยงของคุณได้อย่างถูกต้องค่ะ

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์ปีก

ไก่หงอนโปแลนด์ ไก่สวยงามยอดนิยมเลี้ยงเพลิน ๆ ก็ได้ เลี้ยงไว้สร้างรายได้ก็ดี

ความรู้

       ไก่หงอนโปแลนด์ หรือ ไก่โปแลนด์ ( Polish Chicken ) จัดเป็นไก่สวยงามที่คนเลี้ยงไว้เป็นสัตว์เลี้ยงน่ารัก รวมถึงการเลี้ยงเพื่อช่วยสร้างรายได้ด้วย ซึ่งไก่สายพันธุ์นี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศโปแลนด์ตามที่ตั้งชื่อเอาไว้ ได้มีการถูกค้นพบและเป็นที่รู้จักกันในประเทศเนเธอร์แลนด์โดยได้มีการนำเข้ามาจากประเทศสเปนอีกทอดหนึ่ง

       ว่ากันว่าไก่ชนิดนี้เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับความนิยมมากในสมัยก่อน จัดว่าเป็นสัตว์ปีกชนิดหนึ่งที่มีความเก่าแก่และมีประวัติความเป็นมายาวนาน ซึ่งไก่สายพันธุ์นี้ได้มีการขยายพันธุ์มาจากโซนทวีปยุโรปจากนั้นมีการนำมาขยายพันธุ์ในประเทศอังกฤษในช่วงศตวรรษที่ 17 และมีการขยายเข้ามาสู่ประเทศในอเมริกามากยิ่งขึ้น เมื่อมีการขยายพันธุ์ไปยังประเทศต่าง ๆ ด้วยความสวยงามที่ผู้คนได้พบเห็นก็ทำให้ไก่ชนิดนี้ได้รับความนิยมมากและในปัจจุบันก็ยังคงเป็นที่นิยมของบรรดาคนชอบสัตว์เลี้ยงสวยงามจากทั่วโลกอีกด้วย

ลักษณะทั่วไปของไก่หงอนโปแลนด์

       ไก่หงอนโปแลนด์จัดว่าเป็นสัตว์ปีกอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่มีความสวยงามและโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครโดยจะมีความพิเศษอยู่ตรงที่มีหงอนสูงโดดเด่นสะดุดตา มีขนาดลำตัวปานกลางไม่ใหญ่มากนัก มีน้ำหนักตัวโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.75 กิโลกรัม ส่วนใหญ่จะพบว่าแม่ไก่โปแลนด์มีน้ำหนักอยู่ที่ประมาณ 2 กิโลกรัม ไก่สายพันธุ์นี้จะมีผิวสีขาว ช่วงขาเป็นสีเทา มีขนหลากหลายสีสันซึ่งขึ้นอยู่กับลักษณะของแต่ละสายพันธุ์

       ลักษณะหงอนบนหัวจะมีรูปทรงวี เป็นไก่สวยงามที่มีเหนียงสีแดงสดขนาดเล็ก มีติ่งหูสีขาวขนาดเล็ก ซึ่งหากไม่สังเกตให้ดีก็อาจจะมองไม่เห็น เนื่องจากอาจจะมีขนฟู ๆ ไปปิดบังไว้ทำให้เรามองเห็นได้ไม่ชัด

       ไก่โปแลนด์นิสัยค่อนข้างขี้อายเงียบรักสงบและเป็นมิตรค่อนข้างมีความเชื่องเหมือนสัตว์เลี้ยงทั่วไปแต่อาจจะตกใจง่ายและรู้สึกตื่นตัวง่ายกว่าปกติเนื่องจากสันนิษฐานว่าเป็นเพราะหงอนไก่บนหัวบดบังการมองเห็นทำให้มีอาการตื่นตระหนกได้ง่ายในส่วนตัวผู้เขียนมองว่ามีลักษณะแปลกอีกอย่างหนึ่งคือค่อนข้างเงียบโดยปกติแล้วการเลี้ยงไก่จะค่อนข้างๆส่งเสียงดังดูง่ายๆจากไก่ในบ้านเราที่มีการเรียงความไกลห่างออกไปจากชุมชนเนื่องจากทั้งกลิ่นของมูลสัตว์และเสียงของสัตว์รบกวนเพื่อนบ้านนั้นเองอาจจะเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้คนนิยมนำไก่ชนิดนี้ไปเลี้ยงเป็นสัตว์เลี้ยงในบ้านนอกจากจะสวยงามแล้วก็ยังเงียบสงบไม่รบกวนคนอื่นนั่นเอง

การออกไข่ของไก่หงอนโปแลนด์

       การให้ไข่ของไก่หงอนโปแลนด์พบว่าไม่ค่อยมีความแน่นอนสักเท่าไหร่นัก โดยส่วนใหญ่แล้วจะมีการให้ไข่ประมาณ 2 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือประมาณ 200 ฟองต่อปีโดยเฉลี่ย เมื่อออกไข่แล้วพบว่าไม่ค่อยฟักเป็นตัว ไข่มีขนาดตั้งแต่ปานกลางถึงใหญ่ มีสีขาวลักษณะคล้ายไข่ไก่แจ้ ซึ่งกว่าจะได้ลูกเจี๊ยบไก่โปแลนด์มาแต่ละตัวจำเป็นต้องใช้วิธีการดูแลและเอาใจใส่เป็นพิเศษ ดังนั้นผู้ที่ต้องการที่จะเลี้ยงไก่สวยงามสายพันธุ์นี้จึงควรมีการศึกษาขั้นตอนและวิธีการดูแลให้ดีก่อนนำมาเลี้ยง 

       ไก่โปแลนด์สามารถให้อาหารชนิดเดียวกันกับไก่สายพันธุ์อื่นได้และควรมีการเสริมผัก-ผลไม้ให้บ้างในบางครั้ง ไก่สายพันธุ์นี้จะชอบอากาศร้อนมากกว่าอากาศเย็นจึงควรมีการสร้างโรงเรือนที่มีอุณหภูมิอบอุ่นจะช่วยให้ไก่อยู่รอดและให้ไข่ที่มีคุณภาพมากขึ้น 

ในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก ควรมีการใส่ใจประคบประหงมมากกว่าปกติเนื่องจากหงอนบนหัวไก่ยังไม่เจริญเติบโตเต็มที่หากโดนกระทบกระเทือนหรือโดนไก่ด้วยกันจิกตีก็จะทำให้ได้รับบาดเจ็บหรือตายได้ นอกจากนี้ควรจะมีการหมั่นตัดแต่งขนเป็นประจำเพื่อให้ไก่สามารถมองเห็นได้ชัดไม่มีอะไรมาบดบังสายตารวมถึงการระวังไม่ให้ขนทิ่มตาซึ่งอาจจะทำให้ตาอักเสบได้ค่ะ

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์บก

นิ่มนางฟ้าสีชมพู ตัวนิ่มสีชมพูที่ดูเหมือนซูชิ

ความรู้

        นิ่มนางฟ้าสีชมพู ( Pink fairy armadillo ) หรือ Pichiciego เป็นตัวนิ่มที่มีขนาดเล็ก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กที่สุดในสัตว์สกุลเดียวกัน โดยมีความยาวตั้งแต่ส่วนหัวจนถึงส่วนสะโพกมีความยาวเฉลี่ย 9-12 เซนติเมตร มีน้ำหนักประมาณ 400 กรัม 

        ตัวนิ่มชนิดนี้จะมีเปลือกแข็งสีชมพูระเรื่ออยู่บนแผ่นหลัง โดยเปลือกสีชมพูที่ว่านี้มีความยาวตั้งแต่บริเวณปลายจมูกไปจนถึงสะโพก เมื่อมองดูแล้วลักษณะจะคล้าย ๆ กับซูชิเดินได้ซึ่งที่จริงแล้วมันคือเกราะที่เอาไว้ใช้ป้องกันตัวจากนักล่านั่นเอง ส่วนลำตัวและขาทั้ง 4 ข้างถูกปกคลุมด้วยขนสีขาว มี 4 ขา 5 นิ้ว และมีดวงตาสีดำ

        ปัจจุบันตัวนิ่มนางฟ้าสีชมพูมีจำนานลดลงอย่างมาก อันเป็นผลมาจากการถูกคุกคามจากมนุษย์และการที่ธรรมชาติถูกทำลาย คนตัดไม้ทำลายป่า ขยะล้นโลก ทำให้เกิดภาวะโลกร้อนจนเกิดวิกฤติทางธรรมชาติขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิดอุทกภัยในแทบทุกพื้นที่ การเกิดไฟป่าอันเนื่องมากจากอุณหภูมิที่ร้อนขึ้นและจากความมักง่ายของมนุษย์ เมื่อโลกร้อนมากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตบนโลกทั้งคนและสัตว์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ตัวนิ่มมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ภาวะใกล้สูญพันธุ์ จนในที่สุดก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสัตว์คุ้มครองในปี 1970

ถิ่นอาศัยและการใช้ชีวิตของนิ่มนางฟ้าสีชมพู 

        นิ่มนางฟ้าสีชมพู ” เจ้าซูชิจิ๋วตัวจ้อยมักจะสร้างบ้านโดยการขุดดินให้เป็นโพรงแล้วเข้าไปอาศัยอยู่ในนั้น โดยธรรมชาติตัวนิ่มนิสัยชอบใช้ชีวิตลำพัง ช่วงกลางวันมักจะนอนคุดคู้อยู่ในโพรงใต้ดินและจะออกหาอาหารในตอนกลางคืนทำให้พบตัวได้ยากและไม่ค่อยมีคนได้เห็นมันสักเท่าไหร่ โดยอาหารจานโปรดของเจ้าจิ๋วจะเป็นจำพวกมด รวมถึงปลวก หนอน หอยทาก และพืชบางชนิดด้วย

        แม้ว่าตัวนิ่มจะเป็นสัตว์ที่รักสันโดษสักแค่ไหนก็ตาม แต่บรรดาหนุ่ม ๆ ตัวนิ่มก็ชอบที่จะผสมพันธุ์กับตัวเมียหลายตัว และเมื่อเจออันตรายหรือถูกคุกคามมันก็จะรีบหดม้วนตัวให้เล็กลงแล้วอยู่ภายใต้เปลือกแข็งสีชมพูนั้นทันที

สรรพคุณทางยาของตัวนิ่มนางฟ้าสีชมพู

        นิ่มนางฟ้าสีชมพูและตัวนิ่มชนิดอื่น ๆ จัดว่าเป็นหนึ่งในวัตถุดิบที่นิยมนำไปทำยาจีนอย่างมากโดยในแต่ละปีมีตัวนิ่มถูกล่ามากกว่า 1 ล้านตัวต่อปี เนื่องจากตัวนิ่มสรรพคุณทางยามีอยู่หลายประการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการที่สามารถสลายก้อนเนื้องอกที่อาจกลายเป็นมะเร็งได้ , ช่วยหมุนเวียนเลือด , ห้ามเลือด , ช่วยขับประจำเดือนให้มาปกติ , แก้อาการปวดเมื่อย , ขับน้ำนมในสตรีหลังคลอด ฯลฯ 

        ด้วยเหตุนี้ทำให้ตัวนิ่มถูกล่ามากขึ้นจนมีจำนวนลดน้อยลงไปอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามผู้เขียนคิดว่าการมีสุขภาพที่ดีสามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นเพียงทานอาหารที่ดีในปริมาณที่เหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นออกกำลังกาย และควรมีการตรวจสุขภาพประจำปีทุก ๆ ปี เพียงเท่านี้ก็จะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีแล้วล่ะค่ะ

 

 

เว็บบอล

Categories
ความรู้ สัตว์น้ำ

ปลาออร์ฟิช ปลาพญานาคในตำนานที่คนเล่าขานถึง

ความรู้

      ปลาออร์ฟิช ( Oarfish , King of herrings ) หรือ ปลาพญานาค , ปลาออร์ , ปลาริบบิ้น เป็นปลากระดูกแข็งที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Regalecus glesne และอยู่ในวงศ์ REGALECIDAE สามารถพบได้ทั่วไปตามพื้นที่เขตร้อนหรือเขตอบอุ่น โดยมากพบว่าอาศัยอยู่ในมหาสมุทรแอตแลนติกและทะเลเมดิเตอร์เรเนียนในระดับความลึก 200 เมตร ขึ้นไป เชื่อว่าปลาชนิดนี้สามารถอาศัยอยู่ในน้ำที่มีระดับความลึกมากถึง 1,000 เมตร เลยทีเดียว อีกทั้งยังถูกจัดให้เป็นปลาที่ยาวที่สุดในโลก ด้วยความยาวสูงสุดถึง 17 เมตร หนักประมาณ 270-300 กิโลกรัม

      ปลาออร์จัดเป็นปลานักเดินทางที่กระดูกสันหลังยาวที่สุดในโลกโดยพบว่ามันสามารถมีกระดูกสันหลังยาวได้มากกว่า 11 เมตร และมักจะมีการย้ายถิ่นที่อยู่ไปเรื่อย ๆ เพื่อหาอาหาร สามารถพบได้ในแถบชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกของออสเตรเลีย ทะเลนอกชายฝั่งเม็กซิโก และแถบหมู่เกาะเบอร์มิวดา ซึ่งมักจะพบกันในสภาพที่เป็นซากถูกคลื่นซัดออกมาเกยหาดเสียส่วนใหญ่

ลักษณะของปลาออร์ฟิช ปลาหน้าแปลก ตัวยาว มีหงอน ชอบซ่อนตัวในน้ำลึก

      ในประเทศไทยมีความเชื่อว่าปลาออร์ฟิชมีลักษณะคล้ายกับพญานาคและคล้ายกับมังกรทะเลตามความเชื่อของชาวตะวันตก มีส่วนใหญ่หัวขนาดใหญ่ ไม่มีฟัน ดวงตากลมโต ลำตัวรูปทรงแบนสีเงิน มีจุดสีฟ้าและดำแต้มสลับกันกระจายไปทั่วทั้งตัว ไม่มีเกล็ด เมื่อโดนแสงลำตัวจะมีความสะท้อนแสงและเรืองแสงได้ 

      ปลาออร์มีครีบด้านหลังสีแดง มีความยาวตลอดลำตัวประมาณ 400 เส้น บนหัวจะมีครีบยาวสีแดงซึ่งจะมีความคล้ายกับหงอนพญานาค อาหารของปลาออร์จะเป็นจำพวกแพลงก์ตอน แม้ว่าจะมีหน้าตาไม่น่ารักเท่าไหร่แต่มีนิสัยไม่ดุร้าย ไม่ทำอันตรายต่อมนุษย์ นอกจากนี้ได้เคยมีคนทดลองกินเนื้อปลาออร์จากซากที่ลอยมาเกยตื้นพบว่าเนื้อมีลักษณะเหลวเป็นวุ้นและรสชาติไม่อร่อย จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นปลาที่ไม่เหมาะกับการนำมาทำเป็นอาหารนั่นเอง

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับปลาออร์ฟิช

      ด้วยความที่ปลาชนิดนี้มักอาศัยอยู่ใต้ท้องทะเลลึก การที่จะได้พบเจอปลาชนิดนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนัก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะปลาออร์ฟิชนิสัยชอบท่องเที่ยวไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อหาแหล่งอาหารที่เหมาะสมจึงอาจเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พบตัวได้ยาก ซึ่งในบางครั้งก็ยังสามารถพบเห็นปลาออร์ฟิชแม่น้ำโขงด้วย 

      แม้ว่าข้อมูลในปัจจุบันยังไม่สามารถระบุจำนวนและข้อมูลที่แน่ชัดได้ แต่จากการประเมินของสหภาพอนุรักษ์โลก (IUCN) คาดว่าปลาออร์น่าจะยังมีอยู่จำนวนมากและยังไม่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากการที่ปลาออร์อาศัยอยู่ทะเลน้ำลึกการจะตามล่าหาตัวปลาชนิดนี้จึงเป็นไปได้ยากมากนั่นเองค่ะ

 

 

สมัครบาคาร่า

Categories
ความรู้ สัตว์เลื้อยคลาน

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค ตุ๊กแกหน้ามังกรแห่งเกาะมาดากัสการ์

ความรู้

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค ( Satanic leaf-tailed gecko ) หรือที่มักจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า ตุ๊กแกหางใบไม้ เป็นสัตว์เลื้อยคลานชนิดหนึ่ง มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า Uroplatus phantasticus จัดอยู่ในวงศ์จิ้งจกและตุ๊กแก ( GEKKONIDAE ) สกุล Uroplatus มีถิ่นกำเนิดและกระจายพันธุ์เฉพาะในเกาะมาดากัสการ์เท่านั้น

ด้วยความแปลกของรูปร่างและลักษณะต่าง ๆ ทางกายภาพทำให้มีหลายคนมองว่าตุ๊กแกหางใบไม้มีหน้าตาดุร้ายคล้ายกับมังกรจนในโลกโซเชียลได้มีการตัดต่อจำลองภาพให้มีปีกซึ่งก็ยิ่งทำให้มีความเหมือนมังกรมากยิ่งขึ้นไปอีก ต่อมาก็ได้กลายเป็นสัตว์แปลกที่มีคนให้ความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ 

ลักษณะของตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิค มีลักษณะรูปร่างที่บิดงอและค่อนข้างแบน มีเส้นเลือดโปดปูนตามผิวหนัง มีหางแบนสีน้ำตาลคล้ายใบไม้แห้ง ผิวหนังมีหลายสี เช่น สีเขียวเข้ม สีน้ำตาลใบไม้แห้งและมีจุดดำกระจายอยู่ทั่วไป เมื่อเจริญเติบโตเต็มวัยตุ๊กแกหางใบไม้จะมีลำตัวยาวประมาณ 10-13 นิ้ว ดวงตากลมใหญ่สีน้ำตาล มีจุดสีแดงตรงกลาง ไม่มีเปลือกตาเปลือกตา แต่จะมีเพียงเยื่อใส ๆ หุ้มไว้อีกชั้นหนึ่งเพื่อป้องกันดวงตา

ตุ๊กแกหางใบไม้สามารถจำแนกเพศผู้-เพศเมียได้จากสีผิวโดยตัวเมียจะมีลำตัวสีเทา ส่วนตัวผู้มีลำตัวสีน้ำตาลปนเหลืองและมีปุ่มสองปุ่มอยู่บริเวณโคนหางคล้ายไข่เลี้ยง หลังผสมพันธุ์ตัวเมียจะทำการฟักไข่โดยจะใช้เวลาฟักประมาณ 30 วัน และนานที่สุด คือ 90-120 วัน 

การใช้ชีวิตของตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิคบนเกาะมาดากัสการ์

ตุ๊กแกหางใบไม้ซาตานิคเป็นสัตว์เลื้อยคลานตัวจิ๋วที่มีความสามารถในเรื่องการพลางตัวได้อย่างแนบเนียนอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งการพลางตัวของเจ้าตุ๊กแกไซส์มินินี้จัดอยู่ในขั้นเทพเลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยความที่น้องมีขนาดรูปร่าง หน้าตา และสีสันที่กลืนไปกับต้นไม้ใบหญ้าและธรรมชาติมาก ( ตีเนียนเก่งชนิดที่กิ้งก่ายังต้องอาย ) จึงทำให้สังเกตได้ยากมาก ๆ 

ตุ๊กแกหางใบไม้อาศัยอยู่ในป่าดิบชื้นทางภาคตะวันออกของเกาะมาดากัสการ์ โดยในช่วงเวลากลางวันมักจะพรางตัวและหลบซ่อนตัวอยู่ตามต้นไม้ ซอกไม้ ใต้ใบไม้แห้ง เพื่อพักผ่อนเอาแรง พอถึงช่วงกลางคืนก็จะออกมาหาอาหารเหมือนกับตุ๊กแกสายพันธุ์อื่น ๆ อาหารที่ชื่นชอบจะเป็นจำพวกจิ้งเหลน แมลงสาบ แมงมุม และแมลงชนิดต่าง ๆ รวมถึงอาจกินสัตว์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตัวได้ด้วย เช่น หนูขนาดเล็ก หรือ นกขนาดเล็ก

ปัจจุบันตุ๊กแกหางใบไม้ได้กลายเป็นสัตว์เลี้ยงสำหรับผู้ที่นิยมเลี้ยงสัตว์แปลกทั่วโลก มีการเลี้ยงในตู้กระจกและปรับสภาพแวดล้อมเลียนแบบธรรมชาติ ตุ๊กแกนิสัยไม่ดุร้าย ไม่มีพฤติกรรมที่ก้าวร้าว เลี้ยงง่าย ผู้เลี้ยงสามารถป้อนอาหารให้กินด้วยมือได้ และสามารถแพร่ขยายพันธุ์ได้ในที่เลี้ยง โดยไข่ใช้เวลาฟักประมาณ 30 วัน และนานที่สุด คือ 90-120 วัน 

 

 

ไฮโลไทย

Categories
ความรู้ สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ

เต่าหัวค้อน เต่าทะเลหัวโต ต้วมเตี้ยม สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ที่ไม่ค่อยมีให้เห็นกันแล้ว

ความรู้

     เต่าหัวค้อน ( Loggerhead Turtle ) หรือ เต่าล็อกเกอร์เฮด , เต่าจะละเม็ด , เต่าตาแดง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Caretta caretta ( Linneaus , 1758 ) ถูกจัดอยู่ในวงศ์ CHELONIOIDEA ซึ่งเต่าทะเลชนิดนี้เป็นสิ่งมีชีวิตเพียงชนิดเดียวที่อยู่ในสกุล Caretta 

     พบมากในบริเวณมหาสมุทรแอตแลนติกและพบได้ประปรายในมหาสมุทรแปซิฟิก ส่วนในเอเชียอาจมีพบบ้างในเขตอบอุ่นทางประเทศอินโดนีเซียและญี่ปุ่น ในประเทศไทยไม่พบการขึ้นมาวางไข่เป็นเวลานานกว่า 20 ปี ต่อมาในปี พ.ศ. 2550 ได้พบมีเต่าหัวค้อนติดอวนของชาวประมงในจังหวัดสตูล ได้นำกลับมารักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีและปล่อยกลับลงทะเลในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ. 2551 ปัจจุบันขึ้นสถานะเป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตาม พรบ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2535

ลักษณะทั่วไปของเต่าหัวค้อน 

     เต่าหัวค้อนมีลักษณะทางกายภาพทั่วไปคล้ายคลึงกับเต่าหญ้าและเต่าตนุ โดยจะมีเกล็ดบนหัวบริเวณด้านหน้าจะมี 2 คู่ ( เหมือนเต่าหญ้า ) มีเกล็ดบนกระดองหลังบริเวณริมกระดองด้านข้างนับได้ 5 เกล็ด หรือเรียกว่า 5 แผ่น ซึ่งลักษณะของเต่าส่วนนี้จะแตกต่างจากเต่าทะเลชนิดอื่น ๆ

     กระดองมีรูปทรงโค้งมนและจะเรียวแหลมบริเวณส่วนท้ายกระดอง มีสันแเข็งที่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน กระดองจะมีน้ำตาลอมแดงหรืออมส้ม มีจุดเด่น คือ มีหัวขนาดใหญ่ ส่วนเท้าจะมีเล็บยาวยื่นออกมาข้างละ 1 เล็บ เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะมีกระดองยาวเฉลี่ยประมาณ 85 เซนติเมตร และมีน้ำหนักประมาณ 120 กิโลกรัม 

วิถีการดำรงชีวิตของเต่าหัวค้อน

     เต่าหัวค้อนมักจะอาศัยตามชายฝั่งน้ำตื้นที่มีอุณหภูมิมากกว่า 20 องศาเซลเซียส อาหารของเต่าทะเลชนิดนี้จะเป็นจำพวกกุ้ง หอย ปู ปลา ปลาหมึก และสัตว์น้ำขนาดเล็กชนิดอื่น ๆ โดยมันจะใช้จะงอยปากอันแหลมคมและขากรรไกรที่แข็งแรงเป็นเครื่องมือในการล่าเหยื่อและใช้บดเคี้ยวอาหารที่มีเปลือกหรือกระดองแข็ง 

     ปัจจุบันเต่าหัวค้อนมีจำนวนลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจมาจากปริมาณขยะในท้องทะเลที่เพิ่มมากขึ้น สภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม ภาวะโลกร้อน และการถูกรบกวนจากมนุษย์ ฯลฯ

     อีกทั้งเพศของลูกเต่าจะถูกกำหนดได้โดยอุณหภูมิใต้ผืนทรายบริเวณที่แม่เต่าไปวางไข่ ( ไม่ได้กำหนดด้วยโครโมโซม ) หากอุณหภูมิอยู่ในระดับที่เหมาะสมลูกเต่าก็จะมีสัดส่วนเพศผู้และเพศเมียที่สมดุลกัน โดยถ้ามีอุณหภูมิสูงจะได้ลูกเต่าเพศเมียและถ้าอุณหภูมิเย็นก็จะได้ลูกเต่าเพศผู้ ดังนั้นเมื่อโลกมีสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปก็ย่อมจะส่งผลให้อัตราส่วนของเต่าเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ได้ง่ายขึ้น

 

 

แทงบอล